Tel. 0800-555-555 | 0900-555-555 |

ก่อนมาเป็นปรมาจารย์ ของ รังนิก

ราล์ฟ รังนิก เริ่มจับงานโค้ชตั้งแต่ปี 1983 ซึ่งตอนนั้นเขาอายุเพียง 25 ปี เท่านั้น เขาคือโค้ชเยอรมันที่มีสไตล์การคิดที่ไม่เหมือนกับโค้ชเยอรมันในยุคนั้นอื่น ๆ เนื่องจากสมัยนั้นเยอรมัน (ตะวันตก) ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดกับระบบ 3-5-2 (แบบ Man marking) และแน่นอนว่าระบบนี้แตกต่างจากระบบแบบเพรซซิ่งที่เขาจะนำมาใช้กับฟุตบอลเยอรมันในอนาคตเป็นอย่างมาก

รังนิกใช้เวลากว่า 14 ปี ในการสะสมประสบการณ์ก่อนที่เขาจะได้รับโอกาสคุมสโมสรอูล์ม 1846 และเขาพาทีมคว้าแชมป์ดิวิชั่น4 ได้ ทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา เนื่องจากสไตล์การเล่นของอูล์ม นั้นแตกต่างจากสโมสรในเยอรมันเล่นเป็นอย่างมาก

รังนิกสร้างโปรไฟล์ของเขาอีกครั้ง หลังจากที่เขาถูกรายการทีวีชื่อดังของประเทศเชิญให้ไปอธิบายแท็กติก แนวทางการเล่นที่เขากำลังนำมาใช้ และเรื่องนี้เองทำให้เขาได้รับฉายาว่าเป็น “โปรเฟซเซอร์” หรือ ปรมาจารย์ลูกหนัง (แบบเชิงประชดประชัน) เนื่องจากกลวิธีของเขาแตกต่างไปจากระบบการมีสวีปเปอร์ที่ ฟร้านซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ ตำนานของชาวเยอรมันชื่นชอบ

เริ่มประสบความสำเร็จ

                รังนิกในปี 2000 เขาเริ่มประสบความสำเร็จมากขึ้น หลังจากที่ช่วยให้ฮันโนเวอร์ เลื่อนขึ้นมาในบุนเดสลีก้าได้สำเร็จ ก่อนรับงานคุมทีม ชาลเก้ 04 เขาทำให้ชาลเก้เล่นบอลแบบมีสไลต์ โดยสื่อในเยอรมันตั้งชื่อรูปแบบการเล่นนี้ว่า “เกเก้นเพรซซิ่ง” และนั่นทำให้ ชาลเก้ เป็นสโมสรเดียวในลีกที่ขึ้นไปท้าชิงบัลลังห์กับ บาเยิร์น มิวนิก ทั้งใน บุนเดสลีก้า และเข้าชิงกับทัพ “เสือใต้” ในเดเอฟเบ โพคาล ในปี 2005 ก่อนที่พวกเขาจะจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์ทั้ง 2 รายการ

                แต่พอฤดูกาล 2006 – 07 เริ่มขึ้น เขาไม่สามารถพัฒนา ชาลเก้ ให้เก่งได้กว่าเดิม ทั้งสองฝ่ายจึงตัดสินใจแยกทางกัน ก่อนที่ปรมาจารย์ ราล์ฟ จะตัดสินใจรับงานกับสโมสรเล็ก ๆ อย่าง ฮอฟแฟ่นไฮม์ สโมสรระดับดิวิชั่น 3 ในขณะนั้น และนั่นคือจุดกำเนิดแห่งการเป็นพระบิดาในศาสตร์ลูกหนัง หลังจากที่เขาช่วยให้ ฮอฟแฟ่นไฮม์ เลื่อนชั้นแบบปีต่อปี จนใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปีในการนำพาสโมสรเล็ก ๆ ขึ้นมาสู่ลีกสูงสุดในประเทศได้ และเขาก็วางรากฐานให้ ฮอฟแฟ่นไฮม์ แข็งแกร่ง จนปี 2011 เขาตัดสินใจกลับไปรับงานกับ ชาลเก้ อีกครั้ง และพา ชาลเก้ เข้าไปถึงรอบตัดเชือกในแชมป์เปียนส์ลีก ได้ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจยุติบทบาทการเป็นผู้จัดการทีม

หันมาเป็นผู้อำนวยการกีฬา

จากชื่อเสียงอันโด่งดัง ทำให้บริษัทเร้ดบลูส์ ได้ทำการติดต่อและเสนอตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาให้กับอาจารย์ราล์ฟ ทันที และเขาต้องดูแล 3 สโมสรในยุโรปและอเมริกาอย่าง ไลป์ซิก, ซัลซบวร์ก และ นิวยอร์ค

ซึ่งงานนี้สร้างชื่อเสียงอีกขั้นให้กับเขา หลังจากที่เขาช่วยให้ แอร์เบ ไลป์ซิกส์ ทีมโนเนมในเยอรมัน ขึ้นมาเป็นทีมอันดับต้น ๆ ของยุโรป และถือว่า ไลป์ซิกส์ คือสโมสรขาประจำในเวทียุโรปตลอด 4 – 5 ปีที่ผ่านมา

จากชื่อเสียงตรงนี้ทำให้เขาได้รับทาบทามจากหลายทีม แต่ก็ไม่สามารถมีใครเข้าใจบทบาทและข้อเรียกร้องที่เขาต้องการได้ ทำให้ทีมอย่าง เอซี มิลาน และทีมยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ไม่สามารถนำตัว รังนิก ไปนั่งตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาได้

และปี 2019 เขาก็ได้ไปลงเอยกับ โลโคโมทีฟ มอสโกว์ ทีมลูกหนังของ รัสเซีย เมื่อซัมเมอร์ก่อนภายใต้สัญญาสามปี ก่อนที่จะถูก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดึงมาร่วมทีมในฐานะผู้จัดการทีมชั่วคราว เมื่อปลายปี 2021 ที่ผ่านมา ก่อนขึ้นไปรับตำแหน่งที่ปรึกษาของสโมสรในอนาคต และเขาก็ฝากผลงานอันเจ็บปวดให้กับแฟนบอล “ปีศาจแดง” จากสถิติการคุมทีมทุกรายการ 29 นัด ชนะ 11 เสมอ 9 และแพ้ 9 นัด

และ รังนิก ก็ทำเรื่องสุดงงหลังจากที่ต้นเดือนเมษายน 2022 เขาประกาศรับงานคุมทีมชาติออสเตรียไปพร้อมกันกับทำหน้าที่ที่ปรึกษาของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปด้วย และนั่นทำให้ล่าสุด แมนยู ก็ได้ออกมายืนยันว่า รังนิก ได้สละตำแหน่งที่ปรึกษาของสโมสรเป็นที่เรียบร้อย เพื่อไปโฟกัสกับการทำงานกุนซือทีมชาติออสเตรีย แบบเต็มที่