การแข่งขันฟุตบอล ชิงแชมป์อาเซียน 2020 “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ” ศึกลูกหนังรายการใหญ่ส่งท้ายปีมาถึงจุดเดือดในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศซึ่งจะเตะสองนัด รวมผล 2 นัดใครทำได้ดีกว่าก็จะผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ
และที่มันหยดแน่นอนก็คือเกมตัดเชือกที่ “ช้างศึก” ทีมชาติไทยจะต้องเจอกับเวียดนาม โดยทั้งสองทีมเป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ครั้งนี้และควรจะได้เจอกันในนัดชิงชนะเลิศมากกว่า แต่ “แชมป์เก่า” อย่างเวียดนามเล่นผิดฟอร์มไปหน่อยเลยกลายเป็นอันดับ 2 ในสายบีต้องมาเจอกับ “ช้างศึก” ในฐานะแชมป์กลุ่มเอ และยิ่งระบบเตะในรอบตัดเชือกใช้การเตะแบบสองนัดเพื่อหาทีมเดียวเข้าชิงดำอะไรก็เกิดขึ้นได้
เวียดนามยังคงมี ปาร์ค ฮัง ซอ กุนซือชาวโสมเป็นกุนซือเหมือนเดิม ในขณะที่ทีมชาติไทยเป็นการประเดิมงานแรกของ มาโน่ โพลกิ้ง ที่เข้ามาแทนที่ อากิระ นิชิโนะ และดูเหมือนว่าผลงานของกุนซือคนใหม่ของทีมชาติไทยจะทำได้ดีเกินความคาดหมายเสียด้วย
สถิติที่เจอกันของทีมชาติไทย-เวียดนาม
ในการจัดอันดับฟีฟาแรงกิ้งล่าสุด (สิ้นสุด 19 พ.ย.2021) เวียดนามอยู่อันดับที่ 99 ของโลกถือว่าเป็นทีมเบอร์ 1 อาเซียน ส่วนทีมชาติไทยอยู่อันดับที่ 118 ของโลกและเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน
สถิติที่เจอกันมาทั้งหมดของทั้งสองทีมรวม 26 นัดปรากฏว่าทีมชาติไทยเอาชนะได้ 15 เสมอ 8 และแพ้ 3 ยิงได้ 44 และเสีย 17 ประตู แต่ผลงานที่เจอกันใน 3 นัดล่าสุด เวียดนามไม่เคยแพ้เลย โดยเคยบุกมาเอาชนะไทย 1-0 ในศึกคิงส์ คัพ ครั้งที่ 47 เมื่อ 5 มิ.ย.2019 และในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนเอเชีย เมื่อปี 2019 เสมอทั้งสองนัดด้วยสกอร์ 0-0
ส่วนในศึก “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ” ทีมชาติไทยครองแชมป์ไปครองมากที่สุดถึง 5 สมัย (1996, 2000, 2002, 2014, 2016) ในขณะที่เวียดนามได้แชมป์สองสมัยในปี 2008 และ 2018 และมีเพียงครั้งเดียวที่ทั้งสองทีมเจอกันในรอบชิงชนะเลิศเมื่อปี 2008 โดยเลกแรก ไทยแพ้เวียดนาม 1-2 และเลกสอง เสมอกัน 1-1 ทำให้เวียดนามคว้าแชมป์ไปครองด้วยประตูรวม 3-2
โพลกิ้งท้าทายปาร์ค ฮัง ซอ มาโน โพลกิ้ง กุนซือเชื้อสายบราซิลแต่มาเติบโตที่เยอรมนี เริ่มเข้ามาทำงานในไทยด้วยการเป็นมือขวาของวินฟรีด เชเฟอร์ที่มาคุม “ช้างศึก” เมื่อปี 2011 และหลังจากนั้นก็ผ่านการคุมสโมสรในไทยลีกหลายแห่งไม่
ว่าจะเป็นสุพรรณบุรี เอฟซี,แบงค็อก ยูไนเต็ด และเมื่อปลายปีที่แล้วได้เคยย้ายไปคุมทีมโฮจิมินห์ ซิตี้ ในวีลีกของเวียดนามอยู่ระยะหนึ่ง และคุมทีมอยู่ครึ่งฤดูกาลก็กลับมาไทยจนได้แต่งตั้งเป็นกุนซือทีมชาติไทยประเดิมงานแรกด้วยศึกซูซูกิ คัพ 2020 และจะได้ประชันฝีมือกับปาร์ค ฮัง ซอ กุนซือเลือดโสมที่ปลุกปั้นเวียดนามจนกลายเป็นหัวแถวในอาเซียน
โพลกิ้ง รู้จักนักเตะทีมชาติไทยเป็นอย่างดี และดูเหมือนว่ามีไอเดียใหม่ๆ ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการขนผู้เล่นสำรองลงเล่นในเกมรอบแรก นัดสุดท้าย แต่สามารถเอาชนะ “เจ้าถิ่น” สิงคโปร์ 2-0 ประตู แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในขุมกำลังของ “ช้างศึก” ชุดนี้อย่างมาก และดาวรุ่งในทีมแจ้งเกิดหลายคนในทัวร์นาเมนต์นี้ไม่ว่าจะเป็นวีระเทพ ป้องพันธุ์,เอเลียส ดอเลาะ,วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ ฯลฯ
ดรีมทีมในยุคของโพลกิ้ง
ต้องยอมรับว่า มาโน โพลกิ้ง โชคดีสุดสุดที่ในทัวร์นาเมนต์นี้ได้นักเตะที่ดีที่สุดมาเล่นให้เกือบครบ “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา กลับมาท็อปฟอร์มได้อีกครั้งยิงประตูในศึกใหญ่ครั้งนี้ได้อย่างต่อเนื่อง และผงาดเป็นดาวยิงสูงสุดในประวัติศาสตร์ของลูกหนังชิงแชมป์อาเซียนด้วยประตูรวม 17 ประตู
ที่สำคัญก็คือการได้สองนักเตะจากเจลีกคือ “เมสซีเจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน เข้ามาเสริมในช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่นักเตะที่เมสซีเจชื่นชมออกนอกหน้าก็คือ “กัน” ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร จากเลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งชนาธิปบอกว่า การได้เล่นคู่กันทำให้แผงห้องเครื่องของทีมชาติไทยแน่นมาก เพราะธนวัฒน์ เล่นบอลฉลาด เปลี่ยนบอลสั้นยาวได้ดี ทำให้คนอื่นในทีมเล่นได้ง่ายมากขึ้น
ประกอบกับแท็คติ้งของโพลกิ้งเปลี่ยนไปจากยุคของนิชิโนะอย่างชัดเจน คือเน้นเกมรุกเร็ว โจมตีฉาบฉวย แบ็กสองข้างกล้าเติมเกมบุก ดูเหมือนจะเข้ากับสไตล์ของนักเตะเลือกมาเสียด้วย
แทบจะทำให้เกมรอบตัดเชือกเหมือนเป็นนัดชิงชนะเลิศในรายการนี้ไปเสียเลย เพราะเวียดนามก็มีตัวทีเด็ดในทีมอย่าง “เมสซีเวียดนาม” เหงียน คอง เฟือง และ เหงียน กวง ไฮ
แม้แต่แฟนบอลเวียดนามก็ยังพากันคอมเมนต์ยอมรับว่าเกมรอบรองชนะเลิศโอกาส 50-50 เพราะทีมชาติไทยชุดนี้มีดาวเด่นเพียบและยกระดับการเล่นขึ้นมามาก
โดยเกมตัดเชือกนัดแรกเตะวันที่ 23 ธ.ค. และนัดสองเตะวันที่ 26 ธ.ค. ใครชนะจะเข้าไปชิงชนะเลิศกับทีมชนะระหว่าง สิงคโปร์ (เจ้าภาพ) กับ อินโดนีเซีย
เดือดแน่นอน รับรอง