การแข่งขัน ศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ที่เนชั่นแนล สเตเดียม ประเทศสิงคโปร์ เมื่อ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา ถือว่าดุเดือด เข้มข้นเกินกว่าที่คาดหมายไว้ แถมเดือดทั้งเกมในสนามและนอกสนามอีกต่างหาก
ทีมชาติไทยระเบิดฟอร์มอันยอดเยี่ยมเอาชนะเวียดนาม 2-0 ประตู ถือเป็นการมอบของขวัญวันคริสต์มาสให้กับแฟนบอลชาวไทย รวมถึงเป็นการเรียกศรัทธากลับคืนมาของทีม “ช้างศึก” หลังจากชวดเข้าไปเล่นในรอบ 12 ทีมสุดท้ายของเอเชียในศึกฟุตบอลโลก 2022 ในยุคของอากิระ นิชิโนะ ในขณะที่เวียดนามผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 12 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
และผลงานของกุนซือคนใหม่อย่างมาโน โพลกิ้ง ก็ดีกว่าที่ประเมินกันไว้อีกด้วย
นักเตะที่โดดเด่นที่สุดในเกมตัดเชือก นัดแรก ไม่มีใครเด่นเกินกว่า “เมสซีเจ” ชนาธิป สรงกระสินธุ์ ที่เหมาะทำสองประตู และเกือบจะทำแฮตทริกได้หากไม่พลาดจุดโทษ และที่ฮือฮาเป็นอย่างก็คือในจังหวะที่ชนาธิปโชว์ทักษะนักเตะของแข้งเจลีกที่หลอกล่อแนวรับของเวียดนามล้มคว่ำ และเจ้าตัวยังมาโพสต์ลงในโซเชียล มีเดียอีกว่า “ท่านี้พ่อผมสอนมาแต่เด็กคร้าบ”
สถิติในเกมนี้ของ “เมสซีเจ” คือ ลงเล่นรวม 88 นาที สัมผัสบอล 54 ครั้ง จ่ายบอล 30 ครั้งประสบความสำเร็จ 24 ครั้ง และเป็นนักเตะที่เอาชนะในการดวลตัวต่อตัวกับเวียดนามได้มากที่สุดคือ 11 ครั้ง และยังทำสถิติสร้างโอกาสยิง (5 ครั้ง) เรียกฟาว์ล (5 ครั้ง) และ ยิงเข้ากรอบ 3 ครั้ง มากที่สุดในทีม และทำสองประตู ได้เป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ และดับรัศมี เหงียน กวง ไฮ จอมทัพของเวียดนามได้อย่างสิ้นเชิง
เกมในสนามทีมชาติไทยทำได้ยอดเยี่ยม ในขณะที่เวียดนามเล่นผิดพลาดหลายครั้ง ทำให้หลังเกมแม้แต่แฟนบอลเวียดนามหลายคนก็ยังโพสต์ข้อความลงในโซเชียล มีเดียยอมรับว่า “ช้างศึก” เล่นได้ดีกว่า บางคนยอมรับว่าเกมนัดนี้ทีมชาติไทยแสดงให้เห็นว่าดีกว่าเวียดนามอย่างชัดเจน แตในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ยกระดับขึ้นมาได้ก็เพราะผลงานของกุนซือเกาหลีใต้อย่าง ปาร์ค ฮัง ซอ มากกว่า มีแฟนบอลรายหนึ่งยอมรับว่าเกมนัดนี้ทีมชาติไทยแสดงให้เห็นว่าเหนือกว่าเวียดนามอยู่ระดับหนึ่ง และยังเป็นทีมที่ดีที่สุดในอาเซียนอยู่ ในสนามว่าเร้าใจแล้ว นอกสนามดูเหมือนจะเดือดเสียยิ่งกว่า โดยเฉพาะ “ปาร์ค ฮัง ซอ” กุนซือเลือดโสมซึ่งแต่เดิมจะเยือกเย็น นั่งนิ่งๆ อยู่ตรงซุ้มที่นั่งข้างสนาม แต่เกมนี้คุมอาการไม่อยู่ มีสีหน้ากระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา
ตลอดเวลา บางครั้งยังมายืนสังการข้างสนาม และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือหลังเกม กุนซือชาวเกาหลีใต้ทำท่าจะปรี่เข้าหา “ธีราทร บุญมาทัน” ดีแต่ว่ามีเจ้าหน้าที่ของทั้งสองทีมเข้าไปแยกไว้ได้เสียก่อน
นับตั้งแต่เข้ามาคุมทีมชาติเวียดนาม เกมนี้เป็นนัดแรกที่ปาร์ค ฮัง ซอ พ่ายให้ทีมชาติไทย และ “ช้างศึก” เป็นทีมแรกในอาเซียนที่เอาชนะเวียดนามในยุคของกุนซือเลือดโสมอีกต่างหาก
อารมณ์ค้างของปาร์ค ฮัง ซอ ยังไม่จบลงเพียงแค่นั้น เพราะในระหว่างแถลงข่าวหลังเกมยังกล่าวตำหนิการทำหน้าที่ของ Saoud Ali Al-Adba ผู้ตัดสินชาวกาตาร์ที่ทำหน้าที่ผิดพลาดหลายจังหวะ โดยเฉพาะในจังหวะที่ ฉัตรชัย บุตรพรหม ออกมานอกกรอบเขตโทษและทำฟาว์ล เหงียน วาน ตวน ควรจะโดนมากกว่าใบเหลืองด้วยซ้ำ
“ผมไม่อยากพูดอะไรมากกับการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน แต่ก็หวังว่าเขาจะย้อนกลับไปดูเทปเหตุการณ์และรู้สึกอย่างไรกับการทำหน้าที่ของตัวเอง”
อย่างไรก็ตาม กุนซือเลือดโสมกล่าวยอมรับว่าทีมชาติเล่นได้ดีจริงๆ และสภาพร่างกายฟิตมาก แต่เวียดนามจะเอาความผิดพลาดในเกมนี้ไปแก้ไข และทำให้ดีกว่านี้ในเกมรอบตัดเชือก นัดที่สอง และยังเชื่อว่าเวียดนามยังมีโอกาสอยู่
ในขณะที่ สตีฟ ดาร์บี้ กุนซือชาวอังกฤษและเคยคุมทีมชาติไทยเมื่อปี 2008 แสดงความเห็นว่าความแตกต่างในเกมนี้ก็คือความยอดเยี่ยมของเพลย์เมคเกอร์ของทั้งสองทีม ชนาธิป สรงกระสินธุ์ เหนือกว่า เหงียน กวง ไฮ อย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งเวียดนามเปลี่ยนสไตล์ของตัวเองจากเกมรับแล้วคอยสวนกลับมาเป็นเปิดเกมรุกเข้าใส่จนเปิดช่องโหว่จนโดนโจมตี
“แน่นอนว่า กวง ไฮ ให้บอลฉลาด ยิงฟรีคิกได้ดีมากและผ่านบอลได้ยอดเยี่ยมอีกครั้ง แต่ผมคิดว่าในเกมระดับซูซูกิ คัพ เขายังทำน้อยเกินไป และไม่ดีเพียงพอเมื่อเทียบกับชนาธิป ประตูที่สองของทีมไทยยอดเยี่ยมมาก แสดงให้เห็นถึงทีมเวิร์กและการเคลื่อนไหวโดยไม่มีบอล ทีมไทยน่าจะผ่านเข้าชิงชนะเลิศ”
เกมตัดเชือก นัดแรกว่าเดือดแล้ว เชื่อว่าเกมนัดสองน่าจะดุเดือด เลือดพล่านกว่านี้อีก 26 ธ.ค.นี้ห้ามพลาดเด็ดขาด