นอกเหนือไปการลุ้นแชมป์ของ 5 ลีกใหญ่ของยุโรป รายการที่มีความสำคัญไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนั่นก็คือการเป็นสโมสรที่ดีที่สุดในยุโรป
นั่นคือการคว้าแชมป์ UEFA Champions League
ฤดูกาลก่อน “สิงโตน้ำเงินคราม” Chelsea สามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ และศักดิ์ศรีไม่เป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่าง Manchester City เลยแม้แต่น้อย แถมในนัดชิงดำทีมจากลอนดอนก็พลิกฟอร์มเอาชนะ “เรือใบสีฟ้า” มาได้
และฤดูกาลนี้ทั้งสองสโมสรก็สามารถกรุยทางเข้ามาเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
Champions League ฤดูกาล 2021-22 ในรอบก่อนรองชนะเลิศนั้นต้องบอกว่าผลประกบคู่ที่ออกมา เป็นการเจอกันที่เข้มข้นมาก และอาจทำให้เกมรอบตัดเชือกจะได้เห็นทีมยักษ์ใหญ่เจอกันแบบที่ต้องลุ้นกันเร้าใจ
ลองมาดูสิว่าในรอบ 8 ทีมสุดท้ายโอกาสของแต่ละทีมเป็นอย่างไรกันบ้าง
คู่ที่ 1 Chelsea vs Real Madrid
นับว่าเป็นหนึ่งในคู่ที่น่าสนใจที่สุดในรอบนี้ เพราะ “สิงโตน้ำเงินคราม” เป็นแชมป์เก่ารายการนี้ และเคยเขี่ย “ราชันชุดชาว” ร่วงในรอบตัดเชือกเมื่อปีที่แล้ว สถิตีที่เจอกันมาทั้งหมด 5 เกมพบว่า Chelsea เอาชนะ 3 แพ้ 2 ยังไม่เคยแพ้
ถ้าไม่พูดถึงปัญหานอกสนามที่เร็วๆ นี้ “สิงโตน้ำเงินคราม” อาจจะต้องเปลี่ยนเจ้าของแล้วล่ะก็ถือว่าฟอร์มในฤดูกาลนี้อยู่ในระดับโอเคเลย การได้แชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้วถือว่าเก๋าเกมขึ้นมาก เสียแต่ว่าในรายการนี้ยิงประตูได้น้อยเกินไป แถมคนยิงประตูสูงสุดคือ Timo Werner ยิงได้แค่ 3 ประตูเท่านั้น
ส่วน “ราชันชุดขาว” ฤดูกาลนี้ถือว่าฟอร์มแกร่งทั่วแผ่น โดยเฉพาะในแนวรุก Karim Benzema-Vinicíus Júnior ประสานงานกันได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะ Benzema ยิงไปแล้ว 8 ประตูในรายการนี้
คู่นี้น่าจะสูสี พลิกไปพลิกมา แต่ Real Madrid ฤดูกาลนี้เกมรุกโหดมากน่าจะเบียดเข้าป้าย
คู่ที่ 2 Manchester City vs Atlético Madrid
“เรือใบสีฟ้า” ยังไม่เคยคว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้เลย ตอนนี้แม้นำเป็นจ่าฝูงในพรีเมียร์ลีกแต่ก็โดน Liverpool ไล่บี้ห่างกันแค่แต้มเดียว สำหรับผลงานใน Champions League ฤดูกาลนี้ ชนะ 5 เสมอ 1 แพ้ 2 ดาวซัลโวสูงสุดคือ Riyad Mahrez ที่ยิงไปแล้ว 6 ประตู
ส่วน “ตราหมี” สามารถล้ม Manchester United ทำให้ผ่านเข้ารอบมาได้ ผลงานในฤดูกาลนี้ชนะ 3 เสมอ 2 แพ้ 3 เพลย์เมคเกอร์ของทีมก็คือ Antoine Griezmann ที่ยิงไปแล้ว 4 ประตู
คู่นี้ยังไม่เคยเจอกันเลย “ตราหมี” เก่งตั้งรับแล้วสวนกลับ แต่ความครบเครื่อง ความเก๋าเกมก็น่าจะทำให้ “เรือใบสีฟ้า” เบียดเข้าป้ายได้
คู่ที่ 3 Villarreal vs Bayern Munich
คู่นี้เจอกันมาแล้ว 2 ครั้ง “เสือใต้” เอาชนะได้หมด และต้องยอมรับว่า Bayern กระดูกบอลแข็งโป๊ก เคยได้แชมป์สโมสรยุโรปมาแล้ว 6 สมัย ผลงานในฤดูกาลนี้ใน Champions League ชนะ 7 เสมอ 1 ไม่แพ้ใคร และดาวยิงเบอร์ 1 ของทีมคือ Robert Lewandowski ยิงไปแล้ว 12 ประตู
ส่วนทีมแกร่งจากสเปนอย่าง Villarreal มีผลงานชนะ 4 เสมอ 2 แพ้ 2 คนที่ทำประตูได้มากที่สุดคือ Arnaut Danjuma ยิงได้ 5 ประตู
จุดแข็งของ Villarreal คือการแก้เกมของ Unai Emery แต่เกมนี้เจอกระดูกล้วนๆ ดูแล้วน่าจะต้าน Bayern ยากอยู่สักหน่อย
คู่ที่ 4 Benfica vs Liverpool
Benfica ทีมแกร่งจากโปรตุเกสพลิกฟอร์มเข้ารอบมาได้ก็มองข้ามไม่ได้เหมือนกัน โดยในฤดูกาลนี้ชนะ 3 เสมอ 3 แพ้ 2 Darwin Núñez ทำประตูได้มากที่สุดคือ 4 ประตู
ส่วน “หงส์แดง” ตอนนี้ฟอร์มแกร่งทั่วแผ่น มีโอกาสลุ้น 4 แชมป์ในฤดูกาลนี้ และ Jürgen Klopp เคยพาทีมคว้าแชมป์ในศึก Champions League มาแล้วเมื่อฤดูกาล 2018-19 และผลงานในรอบที่ผ่านมาชนะ 7 แพ้ 1
Liverpool เป็นทีมที่เล่นได้เข้าฝักเมื่อเจอกับทีมจากโปรตุเกสเสมอ ขุมกำลังก็เหนือกว่ามาก “หงส์แดง” น่าจะกรุยทางเข้าไปเล่นในรอบตัดเชือกได้ไม่ยาก
โดยรอบก่อนรองชนะเลิศจะเตะเกมแรกวันที่ 5-6 เมษายน ต่อด้วยเกมสอง 12-13 เมษายน lj;oรอบรองชนะเลิศเกมแรก 26-27 เมษายน เกมสอง 3-4 พฤษภาคม และนัดชิงชนะเลิศเตะ 28 พฤษภาคม ที่ Stade de France กรุงปารีส ของฝรั่งเศส