ตั้งแต่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ก้าวขึ้นมาเป็นนายกสมาคมฟุตบอลได้พยายามปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารหลายอย่าง แต่ผลออกมากลับไม่เป็นที่น่าประทับใจของแฟนบอลชาวไทยเท่าใดนัก
โดยเฉพาะการแต่งตั้งกุนซือทีมชาติไทยที่ล้มเหลวมากกว่าประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะโค้ชชาวต่างชาติ
ก่อนหน้านี้เคยเลือกใช้งานมิลาน ราเยวัช กุนซือชาวเซอร์เบียเข้ามาคุมทีม โดยราเยวัชที่เคยผ่านการคุมทีมชาติกานา และ กาตาร์ เข้ามาคุมทีม “ช้างศึก” เป็นเวลาสองปีแต่ผลงานไม่เป็นที่น่าประทับใจ ตกรอบแรกศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ ตามมาด้วยการพ่ายอินเดีย 1-4 ในศึกเอเชียน คัพ 2019 รอบแรก เป็นความพ่ายแพ้อย่างยับเยินต่ออินเดียเป็นครั้งแรกในรอบ 33 ปี
หลังจากนั้น “ช้างศึก” ขัดตาทัพด้วยกุนซือชาวไทยอย่าง “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย เข้ามาทำงาน แต่ผลงานก็ยังไม่เข้าตาเพียงพอ
กระทั่งได้แต่งตั้งอากิระ นิชิโนะ อดีตกุนซือทีมชาติญี่ปุ่นที่เคยคุมทีมสู้ศึกโอลิมปิกเกมส์มาคุมทีมเมื่อเดือนก.ค.2019 ถือว่าเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่
นิชิโนะออกสตาร์ตได้ดีเมื่อพาทีมชาติไทยสร้างผลงานได้ดีในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก รอบแรก โดย 3 นัดแรกเก็บชัยชนะได้รวด แต่หลังจากนั้นก็ฟอร์มแผ่วลงไปมาก และในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก รอบสอง ไม่ชนะใครเลย จบผลงานด้วยการได้เป็นอันดับ 4 จาก 5 ทีม
ส่วนผลงานคุมทีมชาติไทยชุดสู้ศึกยู-23 ปีในซีเกมส์ 2019 ก็ตกรอบแรกอีก
จนเมื่อวันที่ 29 ก.ค,ที่ผ่านมา สมาคมฟุตบอลจึงประกาศยกเลิกสัญญากับกุนซือชาวญี่ปุ่น หลังจากรับค่าเหนื่อยปีละ 30 ล้านมาตลอดระยะเวลาคุมทีมสองปี
หลังจากนั้นสมาคมฟุตบอลฯได้ประกาศให้ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ เป็นผู้จัดการทีมชาติไทยทั้งชุดใหญ่และชุดยู-23 ปี และ “มาดามแป้ง” ได้ตัดสินใจเลือก “มาโน โพลกิ้ง” มาเป็นกุนซือ “ช้างศึก” คนใหม่
โพลกิ้ง เป็นกุนซือต่างชาติก็จริง แต่ก็วนเวียนอยู่ในวงการฟุตบอลไทยมาหลายปี ผ่านการคุมมาแล้วหลายสโมสร เคยมีประสบการณ์ในการเป็นสต๊าฟโค้ชทีมชาติไทยมาก่อน และในฤดูกาลที่ผ่านมาก็ไปคุมทีมโฮจิมินห์ ซิตี้ ในลีกของเวียดนามมาด้วย
กุนซือเชื้อสายบราซิลแต่ไปเติบโตที่เยอรมนีจึงไม่เหมือนกับราเยวัชและนิชิโนะในแง่ที่รู้จักนักเตะไทย และสไตล์การเล่นของทีมชาติไทยมาเป็นอย่างดี
มาโน โพลกิ้ง เคยผ่านการเล่นฟุตบอลอาชีพในเยอรมนีกับทีมอย่างอาร์เมเนีย บีเลเฟลด์ และ ดาร์มสตั๊ดท์ มาก่อน และเลิกเล่นฟุตบอลในวัย 31 ปีเท่านั้น และเริ่มที่เป็นรู้จักในตำแหน่งโค้ชเมื่อเข้ามารับหน้าที่เป็นผู้ช่วยของวินฟรีด เชเฟอร์ ในช่วงคุมทีมชาติแคเมอรูน และเมื่อเชเฟอร์มาคุมทีมชาติไทยเมื่อปี 2011 ก็ได้ตามมาด้วย และเคยได้รับการแต่งตั้งคุมทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 22 ปี ในศึกชิงแชมป์เอเชียรุ่นอายุไม่เกิน 22 ปีด้วย
เมื่อเชเฟอร์ไม่ได้คุมทีม “ช้างศึก” ต่อไป โพลกิ้งตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยต่อไป ด้วยการก้าวเข้ามาเป็นกุนซือของสโมสรฟุตบอลในไทยลีก ผ่านการคุมทีมมาแล้วหลายสโมสรไม่ว่าจะเป็น อาร์มี ยูไนเต็ด,สุพรรณบุรี เอฟซี,ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด โดยเฉพาะกับแบงค็อก ยูไนเต็ด ถือว่าผลงานโดดเด่นเข้าตามาก แต่ก็ไม่เคยได้แชมป์ติดมือเลย ได้รองแชมป์ไทยลีก 2 สมัย รองแชมป์เอฟเอ คัพ อีก 1 สมัย
หลังจากอำลา “แข้งเทพ” กุนซือชาวเยอรมนีได้ย้ายไปคุมทีมในวี-ลีกของเวียดนามกับโฮจิมินห์ ซิตี้ แต่ผลงานก็ไม่โดดเด่นนัก จึงลาออกในช่วงกลางฤดูกาลหลังจากฟุตบอลลีกเวียดนามต้องหยุดพัก
และในที่สุดก็ได้งานใหม่ด้วยการคุมทีมชาติไทยสู้ศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 และคาดว่าจะได้สัญญาระยะสั้น แต่ถ้าผลงานออกมาดีก็มีโอกาสอยู่ยาวเช่นกัน
เพราะช่วงที่ “มาโน” คุมทีมชาติไทยชุดยู-22 เมื่อหลายปีก่อนนั้น นักเตะในชุดนั้นกลายเป็นตัวหลักในทีมชาติไทยชุดใหญ่แทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น ชนาธิป สรงกระสินธ์,ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์,นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม และไหนจะมีประสบการณ์คุมทีมในไทยลีกมาอีกยาวนานหลายปี
บางที “มาโน โพลกิ้ง” อาจเป็นตัวเลือกที่ใช่สำหรับทีมชาติไทยก็เป็นได้