ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในวงการลูกหนังโลกประการหนึ่ง นั่นก็คือการที่ทีมเต็งหามเสียท่าให้กับทีมเล็กกว่ากลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
และเหมือนว่าจะหมดยุคของทีมที่เปรี้ยงไปด้วยซูเปอร์สตาร์ล้นทีม
ฮังการีทีมเล็กๆ ที่หลงไปอยู่ใน “กรุ๊ป ออฟ เดธ” ไม่มีนักเตะแถวหน้าอยู่ในทีมแม้สักคนเดียว แพ้โปรตุเกสแบบต้องลุ้นกันถึงท้ายเกม และเกือบจะผ่านเข้ารอบด้วยการเสมอฝรั่งเศสและเยอรมนี เป็นหนึ่งในทีมที่สร้างสีสันให้ยูโร 2020 มากที่สุด
อิตาลีกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยสไตล์การเล่นที่แข็งแกร่งกว่าเดิม เล่นเกมบุกร้อนแรง เกมรับเสียประตูยาก แถมนักเตะในทีมก็ไม่ใช่ดาวเด่นที่โด่งดังมากมาย แต่เล่นได้อย่างเร้าใจ มีวินัย และการเข้าไปเจอกับเบลเยียมในรอบ 8 ทีมสุดท้าย หากชนะได้มีโอกาสอย่างมากที่จะคว้าแชมป์โลกไปครอง
และ 2 ทีมที่สร้างเซอร์ไพรส์สุดสุดไปเลยขอยกให้กับเดนมาร์กและสาธารณรัฐเชก
เดนมาร์ก มีสตาร์ดังที่สุดก็คือคริสเตียน อีริกเซ่น ซึ่งเกิดอาการคล้ายหัวใจล้มเหลวในเกมการเล่นนัดแรก หมดสิทธิ์ลงเล่นตลอดทัวร์นาเมนต์ แต่ทีมไร้ดาวดังอย่าง “โคนม” ก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม มีสปิริตสูงส่ง และมีกองเชียร์ให้กำลังใจมากมาย จนสามารถไล่ถล่มเวลส์ 4-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
เช่นเดียวกับสาธารณรัฐเชกทีมที่ถูกมองว่าเป็นไม้ประดับในทัวร์นาเมนต์นี้ เชกผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการเป็นอันดับ 3 ในกลุ่มดี แต่สามารถโค่น “กังหันสีส้ม” ทีมที่ชนะรวด 3 นัดในรอบแรกด้วยสกอร์ 2-0 ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย และพาทริก ชิค กองหน้าโนเนมกลายเป็นนักเตะเนื้อหอมขึ้นมาทันทีด้วยการทำไปแล้ว 4 ประตูเป็นรองเพียงคริสเตียโน โรนัลโด้ เพียงประตูเดียวเท่านั้น
เชกผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปเจอกับเดนมาร์ก นั่นหมายความว่าจะมี “ม้ามืด” อย่างน้อย 1 ทีมผ่านเข้าไปเล่นในรอบรองชนะเลิศ และอาจไปได้ไกลถึงการเป็นแชมป์เลยก็เป็นได้
เพราะในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเป็นทัวร์นาเมนต์ที่มีรายการพลิกล็อกเยอะมาก และเดนมาร์กเคยสร้างปรากฎการณ์คว้าแชมป์ยูโร 1992 มาครองแล้ว
นัดชิงชนะเลิศยูโร 1992
เดนมาร์กไม่ได้ผ่านรอบคัดเลือกเข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายของยูโร 1992 แต่ได้ส้มหล่นเพราะการสั่งแบนยูโกสลาเวียเพราะปัญหาทางด้านการเมือง ทีม “โคนม” ชุดนั้นก็ไม่มีนักเตะที่เป็นดาราเช่นกัน แต่สร้างผลงานล้มยักษ์ทีมแล้วทีมเล่าก่อนจะเข้าไปเจอกับเต็ง 1 “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี และสร้างปรากฎการณ์พลิกล็อกครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยการเอาชนะเยอรมนี 2-0 ประตู คว้าแชมป์ไปครองอย่างเหลือเชื่อ นัดชิงชนะเลิศจอห์น เจนเซ่น และ คิม วิลฟอร์ต ทำกันคนละประตู และเป็นทัวร์นาเมนต์แจ้งเกิดของปีเตอร์ ชไมเคิล (พ่อของแคสเปอร์ ชไมเคิล นายทวารทีมชาติเดนมาร์กชุดนี้) และ ไบรอัน เลาดรู๊ป
นัดชิงชนะเลิศยูโร 2004
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งนี้จัดขึ้นที่กรีซ โดยทีม “เจ้าภาพ” เป็นทีมนอกสายตา แต่ภายใต้การคุมของอ็อนโต้ เรห์ฮาเกล กรีซที่มีแต่นักเตะโนเนมกรุยทางถึงรอบชิงชนะเลิศเอาชนะโปรตุเกส 1-0 ประตูคว้าแชมป์ไปครอง โดยได้ประตูชัยจากการโขกของแองเกลอส ชาริส และทัวร์นาเมนต์นั้น คริสเตียโน โรนัลโด้ ตอนเพิ่งเริ่มมีชื่อเสียงอยู่ในทีมด้วย
และใครจะรู้ว่ายูโร 2020 อาจมีตำนาน “เทพนิยายลูกหนัง” เกิดขึ้นอีกครั้งก็เป็นได้