Tel. 0800-555-555 | 0900-555-555 |

รอบ 16 ทีมจับตาอิตาลี-เบลเยียมเปรี้ยงต่อ

การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ดำเนินมาจนถึงโค้งสุดท้ายของรอบแรกแล้ว ตอนนี้ก็ได้หลายทีมผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายกันแล้ว

ยูโร 2020 มีการปรับเปลี่ยนกติกาการเข้าไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเล็กน้อย โดยนอกจากทีมอันดับ 1 และ 2 จากทั้งหกกลุ่มที่จะได้ผ่านเข้ารอบแล้ว ยังต้องคัดเอาทีมอันดับ 3 ที่มีคะแนนดีที่สุดอีก 4 ทีมผ่านเข้ารอบไปด้วย

และปรากฏว่ายูโร 2020 มาตรฐานของทีมเล็กดันใกล้เคียงกับทีมใหญ่ ยังผลให้ทีมใหญ่อย่างโปรตุเกส,เยอรมนี,ฝรั่งเศส หรือแม้แต่สเปน ก็ต้องมาลุ้นเหนื่อยในนัดสุดท้ายของรอบแรกเพื่อผ่านเข้ารอบไป

แต่ก็มีหลายทีมที่ผ่านเข้ารอบไปและสร้างผลงานได้โดดเด่นชนะรวด 3 นัดอีกต่างหาก และบางทีมก็สุดเซอร์ไพรส์

มีใครกันบ้าง ลองตามไปดูกัน

1.อิตาลี

ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ ฝรั่งเศสและอังกฤษเป็นสองทีมที่คาดหมายว่าจะเป็นทีมเต็งหามลุ้นแชมป์ แต่พอลงสนามเข้าจริงก็ไม่ได้แกร่งทั่วแผ่น มีเสมอและเกือบไม่ชนะอยู่เหมือนกัน ทีมที่แข็งแกร่งตั้งแต่นัดแรกจนถึงนัดสุดท้ายของรอบแรกก็คืออิตาลี

อัซซูรีในยุคของโรแบร์โต มันชินี เปลี่ยนสไตล์การเล่นจาก “ตีหัวเข้าบ้าน” มาเป็นทีม “จอมบุก” เต็มตัว นักเตะชุดนี้ว่าไปแล้วก็ไม่มีนักเตะระดับบิ๊กเนมอยู่ในทีม มานูเอล โลคาเตลลี,มาร์โค แวร์ลัตติ,ซิโร อิมโมบิเล ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ แต่ทำผลงานได้ดี และที่สำคัญขุมกำลังสำคัญสามารถทดแทนได้เป็นอย่างดี ทำให้อิตาลีเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มเอ ด้วยผลงานชนะรวด 3 นัดไม่เสียประตูเลย โดยนัดสุดท้ายของรอบแรกเปลี่ยนผู้เล่นถึง 8 คนแต่ก็เอาชนะเวลส์ 1-0

อิตาลีทำสถิติไม่แพ้ใคร 30 นัดติดต่อกัน และไม่เสียประตูเลยใน 11 เกมล่าสุด ยิงได้ 32 ประตู จุดแข็งของทีมย่อมไม่ใช่ดาราเด่นในทีมแต่คือทีมเวิร์ก และความหิวกระหายชัยชนะเป็นเลิศ

โดยในรอบ 16 ทีมสุดท้ายจะได้เล่นในเวมบลีย์เจอกับออสเตรียทีมอันดับ 2 ในกลุ่มซี ซึ่งหากรักษามาตรฐานไม่น่ามีปัญหาผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ

2.เดนมาร์ก

ทีม “โคนม” เคยสร้างปรากฎการณ์ในยูโร 1992 ซึ่งถูกเลือกเข้ามาแทนที่ยูโกสลาเวียแบบส้มหล่นและคว้าแชมป์ไปครอง ส่วนยูโร 2020 เกิดเหตุการณ์สั่นสะเทือนในนัดแรกที่เจอกับฟินแลนด์เมื่อ คริสเตียน อีริกเซน เพลย์เมคเกอร์ของทีมฟุบลงและเกิดอาการช็อก เหมือนหัวใจล้มเหลวจนต้องหยุดการแข่งขันแล้วนำตัวส่งโรงพยาบาลจนปลอดภัย และจบผลงานในนัดแรกด้วยการพ่ายฟินแลนด์

เดนมาร์กเล่นเกมรุกได้น่าดูบอล เคาะบอลต่อช่องกันแม่นยำ จังหวะเข้าทำก็หลากหลาย แม้ว่านัดสองจะพ่ายเบลเยียมแต่ก็เล่นเอาทีมอันดับ 1 ของโลกปั่นป่วนอย่างหนัก หากไม่ได้เควิน เดอบรอยน์เปลี่ยนตัวลงมาพลิกเกมเบลเยียมก็คงเอาชนะไม่ได้

“โคนม” พลิกสถานการณ์ในนัดสุดท้ายของรอบแรกไล่ถล่มรัสเซีย 4-1 ผ่านเข้ารอบเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มบีทั้งที่มีแค่ 3 แต้มเท่านั้น เป็นการผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ยูโร 2004 และยังเป็นทีมแรกที่แพ้ 2 นัดแรกแต่ผ่านเข้ารอบ

เดนมาร์กผ่านเข้ารอบไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับเวลส์ ที่โยฮัน ครัฟฟ์ อารี ในอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ในวันที่ 26 มิ.ย.นี้ ดาวเด่นของเดนมาร์กอาจจะไม่ใช่ผู้เล่นที่ลงสนาม แต่คืออีริกเซนที่อยู่ระหว่างรักษาตัว เพราะพลพรรค “โคนม” จะเล่นอย่างถวายชีวิตให้กับเพลย์เมคเกอร์ของทีมที่หมดสิทธิ์ลงเล่น เหมือนที่แสดงให้เห็นมาแล้วในรอบแรก

3.เนเธอร์แลนด์

“กังหันสีส้ม” ผ่านเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มซี ทำสถิติชนะรวด 3 นัดติดต่อกัน โดยในรอบ 16 ทีมสุดท้ายจะเข้าไปเจอกับทีมอันดับ 3 ของกลุ่มดี,อี หรือ เอฟ ถือว่าไม่หนักหนานัก โดยจะเล่นที่บูดาเปสต์ ฮังการี

เนเธอร์แลนด์ภายใต้การคุมทีมของแฟรงก์ เดอบัวร์อาจจะไม่ใช่ชุดที่ดีที่สุด ไม่มีเวอร์กิล ฟาน ไดค์ คุมเกมรับ แต่ก็มีทีมเวิร์กทียอดเยี่ยมและจุดเด่นก็คือเกมรุกที่หลากหลาย และผู้เล่นสามารถทำประตูได้หลายคน ดาวเด่นของทีมคงไม่พ้นเมมฟิส เดอปาย ที่เด่นทั้งการยิงและแอสซิสต์ รวมไปถึงกัปตันทีมอย่างจอร์จิโอ เดอปาย ก็เป็นอาวุธสำคัญทำไปได้ 3 ประตูในรอบแรก

เป็นทีมที่มองข้ามไม่ได้เลย

4.เบลเยียม

“ปีศาจแดงแห่งยุโรป” มีดีกรีเป็นทีมอันดับ 1 ของโลกจากการจัดอันดับของฟีฟ่า เป็นอีกทีมที่เข้ารอบเป็นอันดับ 1 ในสายด้วยสถิติชนะรวด 3 นัด และคาดว่าจะร้อนแรงยิ่งขึ้นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายซึ่งจะพบกับทีมอันดับ 3 ของสายเอ ดี อี หรือ เอฟ โดยจะเตะที่เซบีญา สเปน ซึ่งมีโอกาสผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศมาก

 เบลเยี่ยมเริ่มเข้าล็อกเข้าฟอร์มเมื่อเควิน เดอบรอยน์ กลับมาลงเล่นในเกมนัดที่สองที่ยิง 1 จ่าย 1 ให้ทีมแซงเอาชนะเดนมาร์ก 2-1 และสภาพทีมตอนนี้ลงตัวที่สุด เดอบรอยน์ประสานงานกับเอเดน อาซาร์ ในแดนกลาง และกองหน้าตัวเป้าคือ โรเมลู ลูกากู หนึ่งในดาวยิงที่ดีที่สุดในยุโรปขณะนี้

เชื่อว่ารอบ 16 ทีมสุดท้ายจะได้เห็นเกมคลาสสิกเกิดขึ้นอย่างแน่นอน