ถ้าหากไม่นับการย้ายทีมของแจ็ค กรีลิช ที่ย้ายจากแอสตัน วิลลาไปร่วมทีมแมนฯซิตี้ด้วยค่าตัว 100 ล้านปอนด์แล้ว การย้ายทีมที่แฟนบอลทั่วโลกจับตามองมากที่สุดเห็นจะได้แก่การที่ “โรเมลู ลูกากู” กองหน้าทีมชาติเบลเยียมที่เพิ่งพาอินเตอร์ มิลาน คว้าแชมป์กัลโช เซเรียอา เมื่อฤดูกาลก่อนได้ตัดสินใจย้ายกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง
แถมที่เลือกย้ายมาอยู่ก็คือ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ทีมที่เขาเคยล้มเหลวมาก่อน และพกพาความกดดันมาด้วย เพราะย้ายมาร่วมทีมด้วยค่าตัวถึง 98 ล้านปอนด์ และยังเป็นนักเตะที่ได้รับค่าเหนื่อยมากที่สุดของเชลซี และของพรีเมียร์ลีกอีกต่างหาก
ลูกากู เริ่มต้นสร้างชื่อเสียงในบ้านเกิดกับทีมอันเดอร์เลชต์ และย้ายมาอยู่กับเชลซีเมื่อ 8 ส.ค.2011 แต่ภายใต้การคุมทีมของโจเซ มูรินโญ ดูเหมือนว่าดาวยิงชาวเบลเยียมจะถูกมองข้ามและแทบไม่ได้รับโอกาสลงเล่น เพราะได้ลงเล่นทั้งหมดแค่ 15 นัด ยิงประตูไม่ได้เลย
หลังจากนั้น ลูกากูถูกหลายทีมยืมตัวไปเล่นไม่ว่าจะเป็นเวสต์ บรอมวิช อัลเบี้ยน หรือ เอฟเวอร์ตั้น และสร้างสถิติยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เซ็นสัญญาร่วมทีมไปเป็นการถาวรเมื่อ 30 ก.ค.2014
ดาวยิงทีมชาติเบลเยียมลงเล่นให้เอฟเวอร์ตั้นไปทั้งหมด 166 นัดยิงได้ถึง 87 ประตูกับอีก 27 แอสซิสต์ ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมแมนฯยูเมื่อ 10 ก.ค.2017
ในทีม “ผีแดง” ลูกากูยิงได้ 42 ประตูกับอีก 13 แอสซิสต์จากการลงเล่น 96 นัด ก่อนจะถูกขายให้กับอินเตอร์ มิลาน เมื่อเดือนส.ค.2019 และการย้ายมาเล่นในซีรี่สเอ 2 ฤดูกาลเขาช่วยให้อินเตอร์ได้แชมป์กัลโช เซเรียอา มีผลงานลงเล่น 95 นัด ยิง 64 ประตู 16 แอสซิสต์
แต่ความท้าทายที่สุดก็คือการเลือกกลับมาอยู่กับเชลซีอีกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าดาวยิงวัย 28 จะสำเร็จหรือล้มเหลวกับการคืนถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ครั้งนี้ ถึง “สิงโตน้ำเงินคราม” ในยุคของโธมัส ทูเคิล จะได้แชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีก แต่เกมรุกก็ยังขาดความเด็ดขาด กองหน้ายิงประตูได้น้อยเหลือเกิน
ความคาดหวังในตัวของลูกากูก็สูงมาก และหากมองไปในอดีต ผู้เล่นที่สวมเสื้อเบอร์ 9 ของทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” ส่วนใหญ่จะประสบความล้มเหลวเสียด้วยสิ ไล่มาตั้งแต่คริส ซัตตั้น,มาเตยา เคซมัน,เฟอร์นานโด ตอร์เรส,ราดาเมล ฟัลเกา,อัลวาโร โมราต้า,กอนซาโล อิกัวอิน ล้วนแล้วแต่ล้มเหลวทั้งสิ้น
แต่ลูกากูบอกว่าเขาจะประสบความสำเร็จเหมือนอย่าง ดิดิเยร์ ดร็อกบา และ นิโคลาส์ อเนลก้า อย่างแน่นอน ประสบการณ์ในการเล่นในอิตาลีทำให้เขายกระดับฝีเท้าของตัวเองขึ้นมาก และสภาพร่างกายก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าตอนค้าแข้งอยู่กับ “ผีแดง”
“สำหรับผมแล้ว ดร็อกบา และ อเนลก้า คือสองผู้เล่นที่ผมยึดเอาเป็นแบบอย่างในการเล่นเสมอมา และต้องการเดินตามรอยความสำเร็จของพวกเขา”
และหากไม่มีผิดพลาด ลูกากู อาจจะได้ลงเล่นประเดิมในฤดูกาลใหม่ให้เชลซีในเกมวันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคมนี้ ในเกมที่จะลงเล่นในลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ ในเกมบุกเยือนเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมเจอกับอาร์เซนอล
แต่ถ้าหากมองผลงานในอดีตแล้ว ลูกากู มีผลงานที่ไม่น่าประทับใจในการเล่นกับอาร์เซนอลเอาเสียเลย
เพราะในการเล่นในเกมพรีเมียร์ลีกเจอกับ “ปืนโต” ไม่ว่าจะเป็นการลงเล่นให้สโมสรไหน ดาวยิงวัย 28 ลงเล่นทั้งหมด 15 เกม ปรากฏว่ายิงได้แค่ 2 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์เท่านั้น สถิติยิงเฉลี่ยต่อเกมคือ 0.1 สถิติแอสซิสต์ต่อเกมคือ 0.07
ลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์เกมนี้จึงน่าจับตาว่าลูกากูจะหยุดสถิติสิงห์ปืนฝืดได้หรือไม่