แชมป์ดิวิชั่น 1 ปี 1989 กับระบบ 4-4-2
ปีสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ดิวิชั่น 1 ของอังกฤษ หงส์แดงใช้ระบบการเล่นแบบ 4-4-2 ยุคนั้น สองกองหลังตัวกลางจะชัดเจนคือช่วยกันสกัดการบุกของคู่ต่อสู้ แบ็คสองข้างซ้าย-ขวา มีหน้าที่ตั้งรับค่อนข้างเต็มตัว จะไม่เป็นแบ็คจอมบุกเหมือนในยุคปัจจุบัน ต่างกับ เทรนด์ และ โรเบิร์ตสัน อย่างสิ้นเชิง เซ็นเตอร์ตรงกลาง 2คนคือ อลัน แฮนเซ่น ยืนคู่กับ แกรี่ จิลเลสพี ส่วนแบ็คซ้ายเป็น เดวิด เบอร์โรว์ แบ็คขวาเป็น สตีฟ นิโคล กองกลาง จะแบ่งออกเป็น กลางตัวรับ ตัวทำลายเกม 1คน หน้าที่คือ ตัดเกม ทำลายเกมคู่ต่อสู้ เข้าปะทะ เล่นดุดัน เรียกว่าล่อใบเหลืองใบแดงได้อยู่ตลอด จะเป็นสายบู๊ ไม่เน้นสวยงาม ยุคนั้นผมจำได้ว่าเป็น สตีฟ แม็คมานามาน ส่วนกองกลางห้องเครื่อง คอยบัญชาการและสร้างสรรค์เกมบุกจะเป็น เรย์ เฮาส์ตัน สำหรับกองกลางอีกสองคน จะถูกเรียกว่าปีกซ้ายและปีกขวา โดยธรรมชาติแล้วจะทำหน้าที่ลากเลื้อยเข้าไปเปิดบอล ให้กับศูนย์หน้าของทีมเข้าทำประตู แต่ก็มีโอกาสบ่อยครั้งที่สามารถเข้าไปทำประตูเองได้ ผู้เล่นในตำแหน่งนี้ เน้นความเร็วและการลากเลื้อยหลบลีกคู่ต่อสู้ รวมถึงต้องมีทักษะในการเปิดบอล ครอสบอลได้อย่างดีอีกด้วย ปีกในยุคนั้นก็จะเป็น จอห์น บาร์น คู่กับ ปีเตอร์ เบียดสลี่ย์ ส่วนกองหน้าคู่ ตัวจบสกอร์ จะเป็น เอียน รัช เจ้าของฉายา “เพชฌฆาตหน้าติดหนวด” จอมถล่มประตูจากทีมชาติเวลล์ ยืนคู่กับ เคนนี่ เดนกลิช ซึ่งเป็นทั้งผู้เล่นและผู้จัดการทีม คนสุดท้ายที่พาลิเวอร์พูลเถลิงแชมป์ลีกสูงสุด
แชมป์ “ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก” ปี 2005 กับระบบ 4-1-3-2
เริ่มต้นเกม ราฟาเอล เบนิเตช จัดทีมลงไปสู้กับมิลานในระบบ 4-1-3-2 คือ กองหลัง 4คน ได้แก่ ฟินแนน เล่นแบ็คขวา, คาร์ราเกอร์ ยืนคู่กับ ฮูเปีย เป็นเซ็นเตอร์ และให้ ตราโอเร่ ยืนแบ็คซ้าย กองกลางตัวรับ 1คน ใช้ ซาบี อลองโซ่ ยืนเหนือแผงกองหลัง และกองกลางตัวทำเกมบุกอีก 3 คน ใช้ เจอร์ราร์ด ยืนตรงกลาง ขนาบซ้าย-ขวาด้วย ริสเซ่ และ หลุยส์ กาเซีย ส่วนกองหน้า 2คน แบ่งเป็น หน้าต่ำ 1 คนคือ แฮรี่คีเวล และ หน้าเป้า 1คนคือ มิลาน บารอส แต่เมื่อเล่นจบในครึ่งแรก ราฟา รู้แล้วว่าสู้กองกลางของมิลานไม่ได้ หลังจากโดนนำห่างถึง 3ประตูต่อ 0 เขาก็ตัดสินใจเปลี่ยนระบบทันที โดยในครึ่งหลัง เปลี่ยนการยืนใหม่ เป็นแบบ 3-5-2 คือถอดกองหลังออก1คน (ฟินแนน) แล้วเติมกองกลางคือ ดีทม่า ฮาร์มัน ลงมาช่วยคุมเกมแดนกลางให้กระชับขึ้น และส่ง วลาดิเมีย ชมิเชอร์ ลงมายืนคู่กับ บารอสเป็นหน้าเป้า2 คน โดยถอด แฮรี่ คีเวล ออก เมื่อกองกลางแน่นขึ้น เล่นแบบไม่มีอะไรจะเสีย ปฏิหารย์ก็บังเกิด สามารถตามตีเสมอมิลานได้จนสำเร็จ แต่ก็ต้องยอมหวาดเสียวในช่วงต่อเวลา เพราะกองหลังเล่นแค่3คน ดีที่ เจสซี่ ดูเด็ค องค์ลงสามารถเซฟได้ทั้งหมดช่วงพักต่อเวลา เกิดเหนียวขึ้นมาราวกับคนละคนจากในครึ่งแรกที่เสียไปถึงสามดอก แถมเซฟจุดโทษพาหงส์แดงคว้าแชมป์ไปได้อย่างมหัศจรรย์
แชมป์ “ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก ปี 2019 และว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีก ปีล่าสุด กับระบบ 4-3-3
เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นว่าหงส์แดงไม่มี “ศูนย์หน้าตัวเป้า” ก็สามารถผงาดขึ้นเป็นเจ้ายุโรปได้ โดยก่อนที่ JK จะเข้ามาคุมทีม ศูนย์หน้าตัวเป้าของเราที่ชัดเจนที่สุดคือ หลุยส์ ซัวเรซ แต่เมื่อคล็อปป์ เข้ามาทำทีม ก็จัดการเปลี่ยนระบบใหม่ โดยยึดรูปแบบการเล่นเป็น 4-3-3
แผงกลองหลัง 4 คน คือเซ็นเตอร์คู่ ใช้ ฟาน ไดค์ ยืนเป็นตัวหลัก โดยเล่นคู่กับ มาติป หรือ โกเมส และหรือ ลอฟเรน ขนาบด้วยแบ็คซ้าย-ขวา อย่าง โรเบิร์ตสัน กับ เจ้าหนู เทรนด์ สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือ เกมบุกของทีมเรา เกิดจากการขึ้นเติมของแบ็คทั้งสองข้าง ผลงานการ Assist เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก ส่วนในแผงกลาง 3ตัว แบ่งเป็นกองกลางตัวรับ 1คน ยืนอยู่หน้าแผงกองหลัง มีหน้าที่ชัดเจนคือไล่บี้ ไล่ตัดเกมคู่ต่อสู้ ตัวหลักของเราตอนนี้ ถ้าไม่บาดเจ็บก็ต้องยกให้หมอปลา “ฟาบิญโญ่” ส่วนกองกลางอีก 2คน เล่นได้ทั้งเกมรับและเกมรุก นั่นก็คือ กัปตันเฮนโด้ ยืนคู่กับ จีจี้ ไวนัลดุม ช่วยทั้งเกมรับ ประสานทั้งเกมรุก ระบบนี้แหละที่ถูกเรียกว่า ฟุตบอลสไตล์ “เฮฟวี่ เมทัล” คือบุกก็บุกทั้งแผง เมื่อตั้งรับก็ลงมารับทั้งแผง บดปะทะคู่ต่อสู้ตลอดเวลา บอกเลยว่ากองกลางต้องมีสมรรถนะที่แข็งแรงมากๆ ไม่งั้นยืนระยะไม่อยู่แน่นอน ในส่วนแผงหน้า JK เลือกที่จะไม่ใช้หน้าเป้า แต่ใช้การเล่นแบบ False Nine หรือหน้าต่ำ ยืนเป็นศูนย์หน้าตัวหลอก รับหน้าที่โดย ฟิร์มิโน่ บวกกับการโจมตีด้วยหน้าซ้าย และ หน้าขวา อย่างโม ซาลาห์ และมาเน่ ประสานงานกันทั้งสามคน จนตอนนี้ทุกคนอันตรายหมด คู่ต่อสู้เลยไม่รู้ว่าจะประกบคนไหนดี เพราะทุกคนมีทั้งความเร็ว ความเฉียบคมในการทำประตู