หลังจากขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด ในที่สุดฟตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลอันยาวนานนั้นก็ได้จบลงไปแล้ว บางทีมก็สมหวัง บางทีมก็ผิดหวังปะปนกันไป
แต่ดูเหมือนจะยังไม่จบบริบูรณ์ดี เพราะความดุเดือดกำลังก่อตัวขึ้น ผมไปเห็นข่าวที่ บอร์ดบริหารของ บอร์นมัธ วางแผนเตรียมหารือกันเรื่องการดำเนินการทางกฎหมายกับ Hawk-Eye Innovations เจ้าของเทคโนโลยีโกลไลน์ จากเหตุการณ์ ปัญหาที่ โอลิเวอร์ นอร์วู้ด กองกลางทีมเชฟฯยู เปิดฟรีคิกจากริมเส้นฝั่งซ้ายเข้าไปหน้าประตู บอลลอยข้ามหัว ออร์ยาน นีลันด์ ออร์ยาน นีลันด์ ผู้รักษาประตูวิลล่าซึ่งดันรับบอลที่ข้ามเส้นไถลเข้าประตูไปแล้ว
แต่ผู้ตัดสินและผู้ช่วยมองไม่เห็นหรือเห็นไม่ชัดไม่ทราบได้ เท่านั้นไม่พอเลยหวังที่พึ่งอย่างนาฬิกาบนข้อมือก็ดันกลับไม่ส่งสัญญาณเตือนอีกต่างหาก เกมนี้จึงจบลงที่ผลเสมอ 0-0 ไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะ แต่มันเป็นประเด็นยังไงน่ะหรือ เป็นสิฮะ เพราะ 1 แต้มในเกมนั้น ทำให้ แอสตันวิลล่า รอดตกชั้นในวันนี้ยังไงละ จึงทำให้ทางบอร์นมัธเชื่อว่าความผิดพลาดของ Hawk-Eye มีส่วนทำให้พวกเขาต้องหล่นลงไปเล่นในแชมเปี้ยนชิพ
วันนี้เราจึงมาว่ากันด้วยเรื่อง ผลงานของ VAR กันดีกว่า ในฤดูกาลนี้เป็นครั้งแรกที่มีการนำมาใช้ ในฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและเหมือนจะมีปัญหาเยอะอยู่ลีกเดียวซะด้วย เหตุการณ์ที่เด่นชัดเลย และ ไมค์ ไรลีย์ หัวหน้าผู้ตัดสินของพรีเมียร์ลีก ออกมาเปิดเผยเองว่าในฤดูกาลนี้มีการตัดสินที่ไม่ถูกต้องถึง 4 ครั้งมีดังนี้
1.ประตูของ ฟาเบียน แชร์ เกมที่ นิวคาสเซิล เสมอ วัตฟอร์ด 1-1 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม โดยจังหวะก่อนหน้านั้นเป็นลูกแฮนด์บอลของ ไอแซค เฮย์เด้น
2.ยูริ ตีเลอมองส์ เล่นนอกเกมไปย่ำใส่ข้อเท้าของ คัลลัม วิลสัน แต่ไม่ได้ใบแดง ในเกมที่ เลสเตอร์ ซิตี้ ชนะ บอร์นมัธ 3-1 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม
3.ดาบิด ซิลบา โดน เจฟเฟอร์สัน เลอร์มา เหยียบเท้าชัดเจนแต่ไม่ให้จุดโทษ ในเกม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกชนะ บอร์นมัธ 3-1 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม
4.เซบาสเตียง อัลแลร์ โดน ทอม ทรายบูลล์ ดึงจนล้ม แต่ไม่ให้จุดโทษ ในเกม เวสต์แฮม ชนะ นอริช ซิตี้ 2-0 เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม
ทั้ง 4 เหตุการณ์นี้้เกิดก่อนช่วงเบรคโควิด-19 พอหลังจากกลับมาจากเบรคยังมีอีกหลายเหตุการณ์ เมื่อช่วงต้นเดือนที่เห็นความผิดพลาด 3 ครั้งเกิดในคืนเดียว จังหวะ บรูโน่ แฟร์นันด์ส หมุนตัวเทิรน์บอลในเกมกับวิลล่า เรียกจุดโทษให้ แมนฯ ยูไนเต็ด รวมถึง เจมส์ วอร์ด-พราวส์ เรียกจุดโทษให้ เซาธ์แฮมป์ตัน และอีกเหตุการณ์ที่ ท็อตแน่ม พลาดได้จุดโทษเพราะ แฮร์รี่ เคน โดน โจชัว คิง ผลักในเกมพบกับ บอร์นมัธ” รวมถึงเหตุการณ์ ที่เกริ่นมาช่วงต้น ในเกมเชฟยูกับแอสตันวิลล่า ทำไมลีคอังกฤษถึงมีปัญหามากกว่าชาวบ้านเค้า เพราะ พรีเมียร์ลีกนั้น ผู้ตัดสินมักติดขี้เกียจไม่ค่อยชอบวิ่งไปดูเองข้างสนามเหมือนลีคอื่นๆ โดยเลือกจะรอฟังคำตัดสินจาก ผู้ตัดสินอีกคนในห้อง VAR และปรึกษากันก่อนจะเป่ายืนยัน เราจึงเห็นภาพการยืนคุยคนเดียวกับแม่ซื้อเอ้ยยย!!!! คุยกะหูฟังอยู่บ่อยครั้ง ยกเว้นจังหวะที่ไม่ชัวร์จริงๆและนานๆครั้ง ถึงจะเห็นภาพที่เดินไปดูเองข้างสนาม ( หยอกๆนะ จริงๆไม่ได้ขี้เกียจแต่ทางพรีเมียร์เลือกจะใช้วิธีนี้เอง เพราะไม่ต้องการให้เกมหยุดนาน จนน่าเบื่อ )
ก่อนหน้านี้ มาร์ค แคล็ตเท่นเบิร์ก อดีตผู้ตัดสินพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ให้คะแนนเทคโนโลยี “วีเออาร์” 6 เต็ม 10 โดยแคล็ตเท่นเบิร์ก พิจารณาจากกรณีปัญหาที่พบบ่อยในฤดูกาลนี้ทั้งการล้ำหน้าซึ่งตีเส้นถี่จนถึงใต้รักแร้, การแฮนด์บอลที่ไม่ได้เจตนา และควรเปิดโอกาสแก่ผู้ตัดสินเกมดูมอนิเตอร์ข้างสนามมากกว่าคนในห้องควบคุม
ล่าสุด เดอะ ไทม์สื่ออังกฤษ ลองคำนวณตารางคะแนนของศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019/20 ที่จบลงไปเรียบร้อย หากไม่มีการใช้เทคโนโลยี วีเออาร์ ตารางคะแนน จะออกมาเป็นอย่างนี้
- Liverpool – 94 points (five points fewer, same position)
- Man City – 84 points (three points more, same position)
- Chelsea – 68 points (two points more, one position higher)
- Wolves – 68 points (nine points more, three positions higher)
- Man Utd – 66 points (same points, two positions lower)
- Leicester – 58 points (four points fewer, one position lower)
- Sheff Utd – 55 points (one points more, two positions higher)
- Burnley – 55 points (one points more, two positions higher)
- Arsenal – 54 points (two points lower, one position lower)
- Tottenham – 53 points (six points fewer, four positions lower)
- Everton – 52 points (three points more, one position higher)
- Southampton – 46 points (six points fewer, one position lower)
- West Ham – 45 points (six points more, three position higher)
- Newcastle – 44 points (same points, one position lower)
- Crystal Palace – 42 points (one point fewer, one position lower)
- Brighton – 38 points (three points fewer, one position lower)
- Aston Villa – 37 points (two points more, same position)
- Watford – 35 points (one point more, one position higher)
- Bournemouth – 33 points (one point fewer, one place lower)
- Norwich – 23 points (two points more, same position)
จะเห็นได้ว่าตารางคะแนนในตำแหน่งหลักๆยังเหมือนเดิม โดยแชมป์จะยังคงเป็นของ ลิเวอร์พูล แต่จะมีคะแนนลดลง 5 แต้ม ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะอดไปเล่นในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และสเปอร์สจะอดไปยูโรป้า ลีก ส่วนทีมตกชั้น ยังเหมือนเดิม
ดังนั้น การที่บอรน์มัธ จะฟ้องร้อง VAR ไปก็เท่านั้น เพราะข้อมูลของเดอะ ไทม์ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่มีซะยังไงพวกเอ็งก็ตกชั้นอยู่ดี แต่จากเห็นส่วนตัวบอกได้เลยว่า ไม่มีประโยชน์หากจะฟ้องร้องเพราะ เหมือนจะเป็นการแพ้แล้วพาลของทางบอร์นมัธเองซะมากกว่า แล้วฤดูกาลมันจบไปแล้ว ยังไงซะทางทีมงานผู้ตัดสินทำได้แค่ จะพยามปรับการทำงานให้ดีขึ้นเท่านั้น เพราะไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต่างก็มีทีมที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ จากเทคโนโลยีนี้ แต่เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลของการนำ VAR ไม่ได้เพื่อให้ทีมฟุตบอลอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผลประโยชน์นี้ตกเป็นของ ผู้ตัดสินต่างหากที่ได้รับไป เพราะเทคโนโลยีนี้คือการลดความผิดพลาดและบทลงโทษของตัวผู้ตัดสินได้นั่นเอง