การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ได้คู่ชิงชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเป็นการเจอกับอิตาลีกับอังกฤษ เล่นกันที่สนามเวมบลีย์ ลอนดอน อังกฤษ ในวันอาทิตย์นี้ที่ 11 ก.ค.นี้
ถือเป็นเกม “ดรีมไฟนัล” ของ 2 ทีมยักษ์ใหญ่ยุโรปที่มีผลงานดีที่สุดในยูโร 2020 โดยเฉพาะ “สิงโตคำราม” เป็นการผ่านเข้าชิงชนะเลิศในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปเป็นครั้งแรก และก่อนหน้านี้ไม่เคยสัมผัสแชมป์ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่เลย นอกจากเป็นแชมป์โลกในเวิลด์ คัพ 1966
ครั้งนี้จึงหวังว่าจะเป็น “ฟุตบอล คัม โฮม” เสียที
นอกจากนั้นแล้วยังมีความน่าสนใจในสไตล์การเล่นของทั้งสองทีม ที่เกิดการผิดฝา สลับขั้วกันขึ้น กล่าวคือ
ก่อนหน้านี้ อิตาลี เป็นเจ้าของต้นตำรับการเล่นที่เรียกว่า คาเตนัคโช (CATENACCIO) ซึ่งเป็นทีมที่เน้นเกมรับเหนียวแน่น แล้วหาโอกาสโต้กลับ และถูกวิจารณ์ว่าการเล่นน่าเบื่อ เน้นไปที่ผลการแข่งขันเป็นหลัก แต่ต่อมาก็ปรับเปลี่ยนเป็นการเพิ่มการเพรสซิ่งฟุตบอลเข้าไปอีก
แต่ทีมชาติอิตาลีในยุคของโรแบร์โต มันชินี กลับกลายเป็นทีมที่เล่นเกมรุก มีสีสันหวือหวา แต่เกมรับก็ยังเล่นได้มั่นคงอยู่ แม้จะไม่มีดาราอยู่ในทีมแต่ก็อาศัยแท็คติกและทีมเวิร์กที่ยอดเยี่ยมจนเข้าชิงชนะเลิศ
แต่ทีมที่หันไปเล่นสไตล์คาเตนัคโชและบวกเพรสซิงของฟุตบอลกลับกลายเป็น “สิงโตคำราม” อังกฤษในยุคของเกเร็ธ เซาธ์เกต ซึ่งก่อนเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศเพิ่งเสียไปเพียงประตูเดียว และเชื่อว่าจะได้เป็นแชมป์ในครั้งนี้
คาดว่าในนัดชิงชนะเลิศอังกฤษจะเล่นในระบบ 3 เซ็ตเตอร์แบ็ก มี ดีแคลน์ ไรซ์ และ คัลวิน ฟิลลิปส์ จะเป็นมิดฟิลด์ตัวตัดเกมตรงกลาง และมีคีแรน ทริปเปียร์ และ ลุค ชอว์ เป็นวิงแบ็ก ซึ่งถือว่าเป็นทีมเน้นรับเต็มตัว และในแนวรุกจะใช้สามประสาน แฮร์รี เคน เป็นกองหน้าตัวเป้า ราฮีม สเตอร์ลิง อยู่ทางซ้าย ส่วนทางขวาจะสลับกันระหว่าง บูกาโย ซากา,เจดอน ซานโช หรือ ฟิล โฟเดน คนใดคนหนึ่ง
สำหรับ อิตาลี มีปัญหาตรงในตำแหน่งแบ็กซ้ายเมื่อเลโอนาร์โด สปินาซโซลา บาดเจ็บพักยาวคาดว่าจะเป็นเอเมอร์สัน ที่ลงทำหน้าที่แทน เพราะค้าแข้งอยู่ในอังกฤษกับเชลซีอยู่แล้ว ส่วนวิงแบ็กด้านขวาโจวานนี ดิ ลอเรนโซ ต้องแย่งชิงตำแหน่งกับอเลสซานโดร ฟลอเรนซี
แดนกลางที่ได้ลงแน่ๆ ก็คือ มาร์โก แวร์รัตติ กับ จอร์จินโญ ส่วนอีกคนน่าจะเป็นนิโคโล บาเรลลา เช่นเดียวกับสามแนวรุกคือ เฟเดริโก เคียซา,:ซิโร อิมโมบิเล่ และ ลอเรนโซ อินซินเญ่
จุดเด่นของอิตาลีก็คือการให้บอลเท้าสู่เท้าอย่างแม่นยำ เกมรับที่มีคิเอลลินีและโบนุชชียืนคู่กันยากแก่การเจาะ แดนกลางจอร์จินโญคือศูนย์รวมของทีม จังหวะเข้าทำจะหลากหลาย
ส่วนจุดแข็งของอังกฤษคือเกมรับแน่นมาก และช่วยกันเล่นได้ดี แดนกลางตัดเกมได้ดีมาก ส่วนเกมรุกหากปล่อยให้สเตอร์ลิงเล่นอิสระมีโอกาสทำประตูได้สูงมาก
ถ้าเจอกันที่อื่น พลพรรค “อัซซูรี” จะได้เปรียบกว่านิดๆ แต่เมื่อเล่นในเวมบลีย์และอังกฤษมีขุมกำลังสำรองที่แข็งแกร่งมาก ทำให้โอกาสคู่นี้มีอยู่ 50-50
สถิติที่น่าสนใจ
ทั้งสองทีมเจอกันมาแล้ว 27 ครั้ง อิตาลี ชนะ 11 อังกฤษ ชนะ 8 และเสมอกัน 8 ครั้ง แต่ในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ยูโรหรือเวิลด์ คัพ อิตาลีไม่เคยแพ้อังกฤษเลย โดยอิตาลีเอาชนะ 1-0 ในยูโร 1980 และชนะด้วยสกอร์ 2-1 ในเวิลด์ คัพ 1990 และ 2014 และในยูโร 2012 เจอกันในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ผลเสมอในเวลา 0-0 แต่อิตาลีชนะในการดวลจุดโทษ
ในการเจอกัน 14 ครั้งล่าสุด อังกฤษชนะเพียง 2 ครั้ง ที่เหลือเสมอ 5 แพ้ 7 โดย 2 เกมที่เอาชนะได้คือ ชนะ 2-0 เมื่อมิ.ย.1997 และชนะ 2-1 เมื่อเดือนส.ค.2013 ซึ่งเป็นนัดกระชับมิตร
ครั้งนี้เป็นการเล่นนัดชิงชนะเลิศของทัวร์นาเมนต์ใหญ่ (ยูโร,เวิลด์ คัพ) เป็นครั้งที่ 3 ในเวมบลีย์ โดยสองครั้งที่ผ่านมาต้องดวลกันถึงช่วงต่อเวลา โดยอังกฤษเอาชนะเยอรมนี ในนัดชิงชนะเลิศเวิลด์ คัพ 1966 และ เยอรมนี ชนะ สาธารณรัฐเชกในยูโร 1996
อิตาลีไม่แพ้ใครมาแล้ว 33 นัด (ชนะ 27 เสมอ 6) ทำได้ 86 ประตู และเสียไปเพียง 10 ประตู