จากข่าวที่สร้างความช็อคและเจ็บปวดครั้งใหม่ (อีกแล้ว) กับอาการบาดเจ็บของน้อง Joe Gomez ที่ส่อแววว่า ‘มีสิทธิ์พักยาว’ จนจบฤดูกาล หนักพอ ๆ กับที่เราสูญเสีย Virgil Van Dijk กันเลยทีเดียว.
Joe Gomez ลงเล่นในตำแหน่งของ Van Dijk ที่ปิดเทอมยาวไปแล้ว พักหลังมานี้ ฟอร์มเกมรับก็ดูดีขึ้น แม้จะมีอาการเหม่ออยู่บ้าง ส่วนนึงเพราะเขาต้องก้าวขึ้นไปในอีกระดับเพื่อช่วยค้ำจุนทีมในแดนหลัง และการที่เขาได้อยู่ข้างหลัง Andrew Robertson ที่เล่นเกมรับได้ ก็ช่วยส่งให้เกมรับของเรายังมีหวังอยู่ แม้จะไม่มี Virgil Van Dijk.
“Joe กำลังฝึกซ้อมอยู่คนเดียว ไม่ได้เข้าปะทะกับใครด้วย แต่ผมเห็นเขาลงไปนอนกองกับพื้น ผมรับรู้ได้ในทันทีว่า เขากำลังเจ็บปวดอย่างมาก มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาแน่ ๆ” Nick Pope มือกาวเพื่อนร่วมทีมชาติเผย.
จากปากคำของ Nick Pope, Joe Gomez ทรุดลงไปก่อนที่จะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างหนัก พูดง่าย ๆ นั่นคือ เจ็บเองแบบ Trent Alexander-Arnold ในเกมที่ Liverpool บุกไปพบกับ Manchester City แต่ขอบเขตความรุนแรงของอาการบาดเจ็บนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง.
สิ่งที่น่ากังวลที่สุด นั่นคือ Joe Gomez เคยมีอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ถ้าเรามองไปที่อาการบาดเจ็บในอดีตของ Joe Gomez ทั้งหมด จะเป็นรูปแบบนี้ครับ.
2015/16: การบาดเจ็บที่เอ็นไขว้หน้า – 12 ตุลาคม 2015 ถึง 2 มิถุนายน 2016 รวม 234 วัน พลาดลง 52 เกม
2016/17: ปัญหาเอ็นร้อยหวาย -15 กรกฎาคม 2016 ถึง 20 พฤศจิกายน 2016 รวม 128 วัน พลาดลง 15 เกม
2017/18: บาดเจ็บที่ข้อเท้า – 23 มีนาคม 2018 ถึง 20 เมษายน 2018 รวม 28 วัน พลาดลง 5 เกม
2017/18: ผ่าตัดข้อเท้า – 8 พฤษภาคม 2018 ถึง 1 กรกฎาคม 2018 รวม 54 วัน พลาดลง 2 เกม
2018/19: ผ่าตัดข้อเท้า – 5 ธันวาคม 2018 ถึง 5 เมษายน 2019 รวม 121 วัน พลาดลง 23 เกม
อาการบาดเจ็บของ Joe Gomez ในครั้งนี้ ตามที่หลายสื่อได้ยกขึ้นมาเล่ากันนั้น มีความเชื่อมโยงกับอาการบาดเจ็บของเขาในปี 2015-2016 มากที่สุด แล้วทำให้เขาต้องใช้เวลาพักรักษาตัวยาวนานที่สุดอีกด้วย.
ด้าน Virgil Van Dijk ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บ ‘เส้นเอ็นไขว้หน้าหัวเข่า’ หรือ ACL แม้ว่า Van Dijk จะไม่มีอุปสรรคในการผ่าตัดก็จริง แต่ก็ต้องใช้เวลาพักรักษาตัวไม่น้อย, ส่วน Joe Gomez ที่มีรายงานจากภายหลังออกมาว่า ได้รับอาการบาดเจ็บเกี่ยวกับเส้นเอ็นสะบ้า แต่ความร้ายแรงของการบาดเจ็บก็ไม่ได้หย่อนไปกว่า Van Dijk เลย.
ถึงตอนนี้ แฟนหงส์แดงก็คงได้แต่ภาวนาแล้วครับ ว่ากุนซือเฮฟวี่เมทัลอย่าง Jurgen Klopp จะแก้เกมหรือปรับกลยุทธ์อย่างไร ถ้ามองไปยังตลาดหน้าหนาวที่ Liverpool สามารถเซ็นปราการหลังได้ก็จริง แต่ Liverpool ก็ต้องผ่าน