เชลซีเอาชนะแมนฯซิตี้ 1-0 ประตู คว้าแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2020-21 ไปครอง เป็นการคว้าแชมป์รายการนี้ไปครองเป็นสมัยที่ 2 โดยประตูชัยของทีมได้มาจากไค ฮาแวร์ตซ์ กองหน้าทีมชาติเยอรมนี
แต่นักเตะที่ได้รับเลือกเป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ในเกมนี้ก็คือ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศส
โดยในรอบรองชนะเลิศ สองนัดทั้งเหย้าและเยือนที่เชลซีเจอกับเรอัล มาดริด ก็องเต้ ก็คว้าตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ได้ทั้งสองเกม
ในเกมกับแมนฯซิตี้ ก็องเต้ทำสถิติตัดเกม แย่งบอล ผ่านบอล รวมถึงหาจังหวะขึ้นไปสอดทำประตู เรียกได้ว่าทำหน้าที่ได้ครบเครื่อง โดยมีโอกาสสัมผัสบอล 53 ครั้ง เอาชนะในการดวลกับคู่ต่อสู้ 11 ครั้ง (มากกว่าทุกคนในสนาม) แย่งบอลคืนได้ 10 ครั้ง และแม้จะมีความสูงเพียง 168 เซนติเมตรแต่เอาชนะในการดวลกลางอากาศได้ถึง 4 ครั้ง
ก็องเต้ย้ายจากเลสเตอร์มาร่วมทีมเชลซีเมื่อปี 2017 และนับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีม มิดฟิลด์วัย 30 มีสถิติชนะในการเข้าแท็คเกิล แย่งบอลมาครอง คิดเป็นทุก 5.8 นาทีต่อเกมในการลงเล่นในพรีเมียร์ลีกและฟุตบอลถ้วยสโมสรยุโรป มีตัวเลขบ่งบอกชัดเจนดังนี้
1,350 ครั้งในการตัดบอลได้
439 ครั้งในการเข้าแท็คเกิล
360 ครั้งในการแย่งบอลมาครอง
จึงไม่แปลกที่โค้ชทุกคนพอใจที่ได้ร่วมงานกับก็องเต้ และบรรดานักฟุตบอล คอมเมนเตเตอร์ และผู้สื่อข่าวสายฟุตบอลจะบอกว่าอยากให้เขาเป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีรางวัล “บัลลงดอร์” จากฝีเท้าและความทุ่มเทให้กับทีม
อดีตเด็กชายจากกองขยะ
ก็องเต้ เกิดเมื่อ 29 มีนาคม 1991 ที่กรุงปารีส ครอบครัวมีฐานะยากจน เมื่อพ่อเสียชีวิตไป ในฐานะลูกชายคนโตของพี่น้องจำนวนสี่คนจึงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว เขาทำงานทุกอย่างในการช่วยผ่อนภาระของแม่ เคยทำแม้แต่เก็บขยะเอามาขายไปทั่วย่านทิศตะวันออกของปารีส บางครั้งก็เดินเก็บขยะตามสนามฟุตบอลแล้วเอามาขาย รวมถึงในฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ และนั่นทำให้เขาได้เริ่มชอบการเล่นฟุตบอล และอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว โดยนักเตะที่เป็นแรงบันดาลใจก็คือ ซีเนดีน ซีดาน ที่พาทีม “ตราไก่” คว้าแชมป์โลกเมื่อปี 1998
ก็องเต้พยายามสร้างโอกาสให้กับตัวเอง โดยเริ่มต้นกับชีแอส ชูเรส์เนส์ อะคาเดมีฟุตบอลเล็กๆ ในปารีส โดยใช้เวลาเรียนรู้ยาวนานกว่า 4 ปี ก่อนจะเริ่มต้นเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับบูโลญจน์ ทีมในดิวิชั่น 3 ของฝรั่งเศสเมื่อปี 2013 ปีต่อมาย้ายมาเล่นให้ก็อง ทีมดิวิชั่น 2 ฝรั่งเศส และช่วยให้ทีมขึ้นสู่ลีกเอิงในปี 2015
และจุดเปลี่ยนสำคัญของนักเตะเชื้อสายมาลีก็คือย้ายมาร่วมทีมเลสเตอร์เมื่อปี 2016 และช่วยให้ “จิ้งจอกสยาม” คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติของสโมสร
ฤดูกาลต่อมาก็องเต้ย้ายมาอยู่กับทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” และช่วยให้เชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองเช่นกัน
และตอนนี้ก็คือเป็นหัวใจสำคัญให้ทีมยักษ์ใหญ่จากลอนดอนได้แชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีก ซึ่งเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร
ก็องเต้เริ่มค้าแข้งเมื่อปี 2013 และใช้เวลาเพียง 8 ปีกวาดมาแล้วทุกแชมป์ กับทีมชาติฝรั่งเศสก็ได้เป็นแชมป์โลก 2018 ขาดไปเพียงแชมป์แห่งชาติยุโรปเพียงรายการเดียวเท่านั้น
มิดฟิลด์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก
เซซาร์ อัซปิลิกูเอเต้า กัปตันทีมเชลซีบอกว่าเขารู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เล่นในทีมเดียวกับก็องโต้ เพราะนี่คือมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในในโลกขณะนี้ ยังไม่นับการวางตัวเป็นนักเตะตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหนัก การดูแลตัวเอง การพัฒนาฝีเท้าอย่างต่อเนื่อง และยังมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย
ในขณะที่ โธมัส ทูเคิล กุนซือชาวเยอรมนีกล่าวว่า หลังจากตกลงรับงานคุมทีมเชลซีเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา สิ่งแรกที่ทำให้เขาดีใจและตื่นเต้นก็คือจะได้ทำงานร่วมกับก็องเต้ และผลงานในสนามเป็นเครื่องยืนแล้วว่าผู้เล่นดีที่สุดของเชลซีก็คือ เอ็นโคโล่ ก็องเต้ อย่างแน่นอน
รามิเรซ มิดฟิลด์แซมบ้าและอดีตเพื่อนร่วมทีมเชลซีของก็องเต้กล่าวว่า ก็องเต้ คือนักเตะที่ติดท็อปทรีที่ดีที่สุดของโลกในขณะนี้ และหากจะคว้า “บัลลงดอร์” ในปีนี้ไปครองก็มีความเหมาะสม
“เขาทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบ จนดูเหมือนว่ามีเขาอยู่ทุกพื้นที่ของสนาม ลงมาป้องกัน เป็นมิดฟิลด์คอยตัดเกม และทำเกมรุก มันคงจะยากที่จะหาผู้เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับที่จะได้ลุ้นรางวัลบัลลงดอร์ แต่ถ้ามีก็คงจะเป็นก็องเต้เท่านั้น”
นักเตะที่เป็นที่รักของเพื่อนร่วมทีม ผู้จัดการทีม และแฟนบอลมากที่สุดก็คือ เอ็นโคโล ก็องเต้