ทีมชาติอังกฤษลงสนามในศึก Nations League เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าทำได้แค่เสมอทีมชาติอิตาลี 0-0
และใน 3 เกมล่าสุดของ “สิงโตคำราม” ไม่ชนะใครเลย เริ่มจากแพ้ฮังการี 0-1 และตามมาด้วยการเสมอเยอรมนี 1-1 และมาเสมอแบบโนสกอร์กับอิตาลี ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมาที่ไม่สามารถเอาชนะใครได้เลยสามนัดติด
และ 1 ประตูที่ทำได้ก็มาจากการซัดของ Harry Kane จากการยิงจุดโทษ
กัปตันทีม “สิงโตคำราม” ยิงประตูให้ “สิงโตคำราม” ไปแล้ว 50 ประตูในการลงเล่นทีมชาติรวม 71 นัด และเชื่อว่าอีกไม่นานจะทำลายสถิติเดิมของ Wayne Rooney ที่ทำไว้จากการลงเล่น 120 นัดในช่วงระหว่างปี 2003-2018
ในทีมชาติอังกฤษในยุคของ Gareth Southgate มีตัวเลือกมากมายในแผงหลัง รวมทั้งในแดนมิดฟิลด์ก็มีดาวรุ่งแจ้งเกิดอีกมากมาย แต่ดูเหมือนว่าสำหรับตำแหน่งกองหน้าตัวเป้ายังไม่มีใครมาทดแทนกัปตันทีมวัย 28 ได้เลย
“สิงโตคำราม” ได้เข้าถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2018 ก่อนพ่ายโครเอเชีย 1-2 และจบทัวร์นาเมนต์ด้วยการได้อันดับ 4
ส่วนศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 ผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศแถมได้เล่นที่ Wembley Stadium แต่ก็พ่ายอิตาลีในการดวลจุดโทษ
คำถามที่แฟนบอลต้องการก็คือฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ ทีมชาติอังกฤษจะไปถึงตำแหน่งแชมป์โลกได้หรือไม่
กัปตันทีมชาติอังกฤษยอมรับว่ามีความคาดหวังสูงจากแฟนบอล และสองทัวร์นาเมนต์ล่าสุด “สิงโตคำราม” ก็สร้างผลงานได้เป็นที่ยอมรับด้วย แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาเหมือนกัน และแม้แต่ตัวเขาที่ต้องลงเล่นฟุตบอลเกือบตลอดปีโดยแทบไม่ได้หยุดพักเลย ก็ต้องพยายามดูแลตัวเองให้ดีที่สุด
หลังจากจบผลงานให้ต้นสังกัดในพรีเมียร์ลีก ก็ต้องมารับใช้ทีมชาติอังกฤษในศึก Nations League พอได้พักอีกไม่นานก็ต้องกลับไปเล่นในฤดูกาล และช่วงเดือนพ.ย.ก็ต้องเตรียมเดินทางไปกาตาร์เพื่อสู้ศึกฟุตบอลโลก
“มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากแน่นอน บางทีสภาพร่างกายก็ไม่ได้เป็นปัญหาหรอก แต่สภาพจิตใจของผมก็ทั้งช่วงขึ้นและลง ความกดดันมักเกิดขึ้นในทุกเกมที่ลงเล่นนั่นแหละ”
Harry Kane ไม่ได้ถูกเลือกเป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษเพราะผลงานการถล่มประตู หากแต่เขาเป็นผู้นำของทีม เยือกเย็น สั่งการได้อย่างเหมาะสม และมีบุคลิกที่กระตุ้นเพื่อนร่วมทีมให้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ แม้กระทั่งการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนก็เต็มไปด้วยความรอบคอบ ตอบคำถามอย่างสุภาพ ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี
“ก่อนหน้านี้อังกฤษเล่นโดยไม่มีความคาดหวังอะไรเลย จนกระทั่งฟุตบอลโลก 2018 เป็นต้นมาสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป และเราจะต้องเดินทางไปกาตาร์ในฐานะทีมตัวเต็งอีกทีมหนึ่ง และสิ่งที่ตามมาด้วยก็คือความกดดันที่แตกต่าง และความรับผิดชอบก็เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย”
Kane ยอมรับว่าช่วงสี่ปีที่ผ่านมาภายใต้การคุมทีมของ Gareth Southgate นั้น “สิงโตคำราม” สามารถปลดล็อกได้หลายอย่าง อาทิเช่น เอาชนะทีมชาติเยอรมนีใน Euro 2020 ในรอบน็อกเอาต์ ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1966 หลังจากเจอกันแล้ว “อินทรีเหล็ก” จะเก็บชัยชนะได้หมดทั้งในรอบตัดเชือกฟุตบอลโลก 1990 และรอบตัดเชือกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1996
“เราเล่นในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งที่ผ่านมาได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการไม่แพ้ใครเลย แต่ก็ลงเอยด้วยการพ่ายดวลจุดโทษในนัดชิงชนะเลิศอีกครั้ง อย่างไรก็ตามผมคิดว่าเราได้เรียนรู้มากขึ้น ทีมชาติอังกฤษสามารถรับมือกับความกดดันได้ดีขึ้น แต่เราต้องทำให้ดีขึ้นอีกในกาตาร์หากต้องการเป็นแชมป์โลก”
นอกจากในทีมชาติแล้ว ดาวยิงวัย 28 ยังคงมีความหวังกับการเล่นให้กับ “ไก่เดือยทอง” ต้นสังกัดอีกครั้ง หลังจากผิดหวังที่ไม่ได้ย้ายทีมจนฟอร์มเป๋อยู่พักใหญ่ แต่หลังจากได้ Antonio Conte เข้ามาคุมทีมสถานการณ์ทุกอย่างก็ดีขึ้นตามลำดับ จนในที่สุด Spurs จบผลงานด้วยการคว้าอันดับ 4 และได้สิทธิ์ไปเตะ UEFA Champions League ฤดูกาลหน้า
“การได้ไปเตะ Champions League มีความสำคัญต่อเรามาก เพราะจะทำให้เราต้องเตรียมตัวมากขึ้นทั้งร่างกายภาพและสภาพจิตใจ แต่เราก็ยังมีอะไรต้องปรับปรุง”
พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2022-23 ไปจนถึงฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์จึงถือว่าเป็นบทพิสูจน์สำคัญของ Harry Kane อย่างแท้จริง