จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน แชมป์โลก
หนึ่ง ในผู้รักษาประตูที่เคยได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดในโลก เคยคว้าแชมป์โลกเมื่อปี 2006 ในระดับสโมสรก็คว้าแชมป์มานับไม่ถ้วน นับแค่แชมป์บอลลีกก็ 10 สมัยกับ ยูเวนตุส และ อีก 1 สมัย กับ ปารีส แซง แชร์กแมง แต่ใน UCL เจ้าตัวเข้าชิงถึง 3 สมัย แต่ก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปทั้งหมด เริ่มตั้งแต่แพ้จุดโทษ เอซี มิลาน ในปี 2003 , แพ้ บาร์เซโลน่า 3-1 ในปี 2015 และ แพ้ เรอัล มาดริด 4-1 ในปี 2017
ฟาบิโอ คันนาวาโร่ แชมป์โลก
เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์เมื่อปี 2006 ที่เจ้าตัวโชว์ฟอร์มอย่างยอดเยี่ยม และพาทีมชาติเป็นแชมป์โลกในปีนั้น ส่วนในระดับสโมสร ก็คว้าแชมป์ลีกได้ทั้งที่ อิตาลี(ยูเวนตุส 1 สมัย) และ สเปน(เรอัล มาดริด 2 สมัย) แต่ใน UCL ไม่สามารถผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้เลย
จิอันลูก้า ซามบร็อตต้า แชมป์โลก
นักเตะที่เล่นริมเส้นได้ตั้งแต่หลังยันหน้า อยู่ในชุดแชมป์โลก 2006 เช่นเดียวกับ บุฟฟ่อน และ คันนาวาโร่ คว้าแชมป์ลีกอิตาลีไป 4 สมัย (ยูเวนตุส 3 , เอซี มิลาน 1) แต่ก็ไม่เคยได้แชมป์ UCL ทั้งสมัยที่เล่นให้ ยูเวนตุส , บาร์เซโลน่า และ เอซี มิลาน
ลิลิยอง ตูราม แชมป์โลก
กองหลังที่คว้ามาทั้งแชมป์โลก(1998) และ แชมป์ยุโรป(2000) แต่ก็ยังไม่สามารถคว้าแชมป์ UCL ทั้งสมัยที่เล่นให้ยูเวนตุส และ บาร์เซโลน่า โดยใกล้เคียงที่สุดก็คือในปี 2003 ที่แพ้ให้กับ เอซี มิลาน ในช่วงดวลจุดโทษ หลังเสมอในเวลา 0-0
ปาทริค วิเอร่า แชมป์โลก
ห้องเครื่องแชมป์โลก และ แชมปยุโรป ชุดเดียวกับ ตูราม คว้าแชมป์ลีกทั้งที่อังกฤษ(อาร์เซน่อล 3 สมัย) และ อิตาลี (เอซี มิลาน 1 สมัย , ยูเวนตุส 1 สมัย และ อินเตอร์ 2 สมัย) แต่ก็ไม่เคยคว้าแชมป์ UCL ได้สำเร็จ โดยเมื่อปี 2010 เจ้าตัวย้ายออกจาก อินเตอร์ มิลาน ไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงเดือนมกราคม ก่อนที่ในฤดูกาลนั้น งูใหญ่จะสร้างปาฏิหาริย์คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ
มิชาเอล บัลลัค รองแชมป์โลก
มิสเตอร์รองแชมป์ ฉายาที่เจ้าตัวคงไม่อยากจะรับไว้ โดยเมื่อปี 2002 เจ้าตัวพา ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น เข้าชิง UCL แต่ถูกราชันชุดขาวตบนิ่มไปด้วยสกอร์ 3-0 ก่อนที่จะไปเป็นรองแชมป์โลกโดยแพ้ให้กับ บราซิล ไปด้วยสกอร์ 2-0 หลังจากนั้นได้ย้ายไปอยู่กับ เชลซี เมื่อปี 2006 และได้เข้าชิง UCL อีกครั้งในปี 2008 แต่ก็ชวดแชมป์ไปอย่างหน้าเสียดายเมื่อพ่ายจุดโทษให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
พาเวล เนตเวด
เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ปี 2003 เรียกได้ว่าแบกยูเวนตุสเข้าไปชิงชนะเลิศเมื่อปี 2003 อย่างแท้จริง เพราะพาทีมหักด่านทั้ง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด(แชมป์เก่าปี 2002) แต่ในรอบรองที่เจอกับราชันชุดขาวก็ทำให้เจ้าตัวถึงกับต้องเสียน้ำตากลางสนามระหว่างการแข่งขัน เมื่อไปโดนใบเหลือง ส่งผลให้เจ้าตัวสะสมใบเหลืองครบโควต้าทำให้พลาดเกมนัดชิงไปอย่างน่าเสียดาย และสุดท้ายทีมก็แพ้ให้กับ ปีศาจแดงดำ ในช่วงดวลจุดโทษ
ฟรานเชสโก้ ต็อตติ แชมป์โลก
เจ้าชายหมาป่าที่อยู่กับ โรม่า เพียงทีมเดียวเท่านั้นตั้งแต่เริ่มค้าแข้งจนแขวนสตั๊ด คว้าแชมป์ในประเทศครบทุกรายการ ส่วนในระดับชาติก็คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จในปี 2006 แต่กับในรายการ UCL ต้องยอมรับว่าศักยภาพของทีมหมาป่าแห่งกรุงโรม ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะสู้กับขาใหญ่ในรายการนี้ได้
ซลาตัน อิบราฮิโมวิช
พระเจ้าแห่งวงการฟุตบอล ที่ไม่ว่าจะอยู่กับทีมไหนก็ต้องมีแชมป์ติดตัว ไล่ไปตั้งแต่ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม , ยูเวนตุส , อินเตอร์ มิลาน , บาร์เซโลน่า , เอซี มิลาน , ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และ แมน ฯ ยูไนเต็ด แค่เห็นชื่อทีมเหล่านี้ ก็นับรวมจำนวนแชมป์ UCL กันไม่ถูกแล้ว ว่าคว้าแชมป์ไปรวมกันกี่สมัย แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า พระเจ้าองค์นี้ ไม่เคยแม้จะเข้าใกล้ตำแหน่งแชมปยุโรปเลยสักนิด แถมมีเรื่องตลกร้ายกว่านั้นอีก เมื่อเจ้าตัวย้ายออกจาก อินเตอร์ มิลาน ไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า ในฤดูกาล 2009-2010 งูใหญ่ก็คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ทันที แล้วพอ อิบรา ย้ายออกจาก บาร์เซโลน่า ไปอยู่กับ เอซี มิลาน ในฤดูกาล 2010-2011 เจ้าบุญทุ่มก็คว้าแชมป์ UCL ได้ทันทีเหมือนกัน จนทำให้ช่วงนั้นมีการแซวกันว่า ถ้า อิบรา ย้ายออกจาก เอซี มิลาน ในฤดูกาลนั้น ทีมปีศาจแดงดำ ก็อาจจะคว้าแชมป์ UCL ก็เป็นได้
โรนัลโด้
มาถึงคนสุดท้ายที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ กองหน้าที่คนดูบอลทั้งโลกยอมรับว่าครบเครื่องมากที่สุดคนหนึ่งของวงการฟุตบอล เรียกได้ว่าแทบจะเป็นกองหน้าเบอร์ 1 ตลอดกาลเลยก็ว่าได้ นับแค่สโมสรในยุโรป เจ้าตัวเคยค้าแข้งให้กับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น , บาร์เซโลน่า , อินเตอร์ มิลาน , เรอัล มาดริด และ เอซี มิลาน มองจากชื่อทีม ก็รู้แล้วว่าต้องมีถ้วยรางวัลติดไม้ติดมือแน่นอน แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรนัลโด้ ได้แชมป์กับสโมสรที่เขาค้าแข้งไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แม้จะเคยได้แชมป์โลกกับทีมชาติบราซิล 2 สมัย(1994 , 2002) แต่เขาก็ไม่เคยคว้าแชมป์ UCL ได้เลย แม้ในฤดูกาล 2006-2007 เอซี มิลานจะได้แชมป์ แต่เจ้าตัวติดคัพ-ไทด์กับเรอัล มาดริด