เชื่อได้เลยว่าหากจะพูดชื่อของ เปเล่ อดีตตำนานกองหน้าของทีมชาติบราซิล ไม่ว่าจะเป็นคอบอลรุ่นเก่า หรือว่าคอบอลรุ่นใหม่ ต่างก็รู้จักชื่อของ เปเล่ หรือฉายา (ไข่มุกดำแห่งบราซิล) กันดีแน่นอน แต่เชื่อหรือไม่ว่า ได้มีการพูดถึงประวัติของ เปเล่ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดอาชีพของ เปเล่ ที่เป็นนักฟุตบอลว่า มีความยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้าหากจะเทียบกับเพื่อนร่วมรุ่นในยุคของ เปเล่ โด่งดังอย่างเช่น มาราโดนา ตำนานชาวอาร์เจนตินา อาจจะเทียบ เปเล่ แทบจะไม่ติดเลยก็ว่าได้
หรือหากจะพูดถึงนักเตะในยุคปัจจุบันอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด หรือ ลีโอเนล เมสซี หากจะมีประวัติศาสตร์บางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวนักเตะก็คงจะไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับ เปเล่ เช่นเดียวกัน
และเมื่อพูดถึงการคว้าแชมป์โลกของบราซิล ก็อาจจะเป็นเรื่องปกติ เพราะพวกเขาเป็นเจ้าแห่งวงการลูกหนังเมื่อในอดีตอยู่แล้ว แต่ เปเล่ คว้าแชมป์กับบราซิล ตั้งแต่ที่เจ้าตัวอายุ 17 ปี และยังทำสถิติในปี 1958 ที่บราซิล คว้าแชมป์โลกที่ประเทศสวีเดน ซึ่ง เปเล่ ในวัย 17 ปี สร้างสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ผู้เล่นอายุน้อยที่ยิงประตู และเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่ยิงแฮตทริกในเกมเดียว 3 ลูก
และด้วยความโด่งดังของ เปเล่ หากจะเทียบเท่าในปัจจุบันนี้ อาจจะเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลก และพ่วงด้วยตำแหน่งดาราที่ดังที่สุดใน Hollywood นั่นจึงทำให้สมาพันธ์ฟุตบอลบราซิล (CBF) และสโมสรต้นสังกัดของ เปเล่ อย่างสโมสรซานโตส ได้ตกลงปลงใจเปลี่ยนสถานะของ เปเล่ จากที่เป็นนักฟุตบอล หรือว่าพลเมืองบราซิลธรรมดา กลายเป็น (สมบัติของชาติ) ทันทีตั้งแต่ปี 1961
และแน่นอนว่าเงื่อนไขกับสถานะสมบัติของชาติที่ เปเล่ ได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลประเทศบราซิล เงื่อนไขเดียวที่สำคัญก็คือ เปเล่ จะไม่สามารถย้ายออกจากนอกประเทศได้ นั่นหมายถึงการย้ายไปร่วมงานกับทีมดังในฝั่งยุโรป ซึ่งมีหลายทีมให้ความสนใจ เปเล่ ในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อินเตอร์ มิลาน, บาร์เซโลนา รวมแม้กระทั่ง เรอัล มาดริด ที่พวกเขาได้ยื่นกระดาษเปล่าพร้อมกับให้ เปเล่ เขียนตัวเลขค่าเหนื่อยตามต้องการ และยิ่งไปกว่านั้น เปเล่ ถูกยื่นข้อเสนอจากสโมสรยูเวนตุส ให้ถือหุ้นกับบริษัท “เฟียส” ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่สโมสรยูเวนตุส เป็นเจ้าของ
แต่แน่นอนว่าด้วยสถานะสมบัติของชาติ เปเล่ จึงไม่สามารถที่จะย้ายทีมได้ และเมื่อ เปเล่ มีความเชื่อมโยงกับสถานะทางด้านการเมือง และเป็นสมบัติของชาติ แน่นอนว่ารัฐบาลประเทศบราซิล และสโมสรซานโตส พวกเขาได้จัด World Tour เพื่อที่จะโชว์ตัว เปเล่ ทั่วโลก ซึ่งเรียกได้ว่าในช่วงที่ เปเล่ อยู่ในยุครุ่งเรืองทุกคนต่างก็ต้องการที่จะเห็น เปเล่ ลงวาดลวดลายบนผืนหญ้า ซึ่งประเทศไทยเป็นเลขก็เคยมาจัด World Tour ถึง 2 ครั้ง
แต่ความยิ่งใหญ่และความอิมแพคของ เปเล่ ก็คงจะเป็นการทำข้อตกลงหยุดสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายรัฐบาล และกบฏของประเทศไนจีเรีย เพื่อที่จะให้ทีมชาติบราซิล และทีมชาติไนจีเรีย ได้แข่งขันกัน และให้ประชาชนเข้าชมเกม
และสำหรับช่วงที่ประเทศบราซิลมีสงครามกลางเมือง 2 ขั้วระหว่างฝ่ายรัฐบาลที่แย่งชิงอำนาจ แน่นอนว่าผลกระทบมีหลายด้าน ยกเว้นสถานะของ เปเล่ ที่ยังเป็นสมบัติของชาติเช่นเดิม และเขาก็มีส่วนสำคัญที่ผลักดันเศรษฐกิจของประเทศบราซิลจนกระทั่งก้าวเข้าสู่ปี 1974 ที่รัฐบาลประเทศบราซิล ปรับสถานะของ เปเล่ ให้เป็นนักเตะธรรมดา ในปีนั้นเจ้าตัวก็อยู่ในวัย 34 ปี จึงมีโอกาสย้ายออกมาเล่นให้กับ นิวยอร์กคอสโมส์ ซึ่งเป็นลีกของสหรัฐอเมริกา ที่เป็นช่วงบั้นปลายอาชีพของ เปเล่
“และตลอดระยะเวลา 19 ปี ตั้งแต่ปี 1956 ถึงปี 1974 เปเล่ คือสมบัติของชาติ ที่ประเทศบราซิลได้แต่งตั้งสถานะ โดยกำกับด้วยเงื่อนไขที่ห้ามย้ายออกไปเล่นกับลีกอื่น”