ครบรอบ 1 ปีแล้ว กับเกมการแข่งขันที่เป็นปรากฎการณ์คัมแบคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในถิ่น Anfield เมื่อ Liverpool ต้อนรับการมาเยือนของ Barcelona ในศึก UCL เลกสอง.
Barcelona มีประตูตุนมาจากถิ่น Camp Nou ถึง 3 เม็ด จากการถล่ม Liverpool ในเลกแรกไปด้วยสกอร์ที่ค่อนข้างขาดลอย.
หนทางการเข้ารอบชิงของ Liverpool มีน้อยจนแทบไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ยิ่งเลกสองด้วยแล้ว แม้ทัพหงส์แดงจะชนะในเกม 90 นาทีด้วยสกอร์ 3-0 แต่ Barcelona ก็ยังได้เปรียบด้วยกฏ Away Goal.
ยิ่ง 2 กองหน้าที่มีความจัดจ้านอย่าง Salah และ Firmino ไม่ได้ลงสนามด้วยแล้ว โอกาสที่จะล่าตาข่ายจากคู่แข่งยักษ์ใหญ่จากสเปน กลายเป็นเรื่องที่ยากจนเลือดตาแทบกระเด็น.
แต่ Jurgen Klopp และลูกทีมไม่ได้ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่หลายคนกำหนดด้วยปาก ทีม Liverpool พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ถึงการคัมแบ็คที่ใครหลายคนไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น.
หวังเพียงแค่ ถ้าจะต้องพ่ายแพ้ ก็ขอให้ออกมาในรูปแบบที่สวยงามและน่าประทับใจที่สุด แต่ความสวยงามนั้น กลับปรากฏในรูปแบบของผู้ที่คว้าชัยชนะสุดยิ่งใหญ่.
ทั้งโค้ช นักเตะ รวมไปถึงแฟนบอลของ Liverpool ถูกเติมเต็มด้วยความอิ่มเอมใจอย่างที่สุด สีหน้าของทุกคนถูกฉาบไปด้วยรอยยิ้ม เปล่งเสียงแปดหลอดร่วมกันขับขานบทเพลง You’ll never walk alone กึกก้องไปทั่วทั้ง Anfield.
ในทางกลับกัน ผู้ที่ได้รับความพ่ายแพ้อย่าง Barcelona ก็ไม่รู้จะอธิบายความขมขื่นจากเกมนั้นยังไงเช่นกัน.
Sergio Roberto : ผมแทบไม่ได้หยุดดูสกอร์เลย ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
Andre ter Stegen : หลังจากแมตช์นั้น ผมอยากจะหายตัวไปเลย ผมรู้สึกแย่แทนแฟนบอลของพวกเรา
Lionel Messi : พวกเราต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับผลการแข่งขัน พวกเราไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นแบบนี้
Luis Suarez : พวกเราต้องวิจารณ์ผลงานของตัวเองมากกว่าที่จะไปโทษใคร พวกเราเป็นผู้ใหญ่มากพอ.
การที่นำคำพูดของผู้ที่ได้รับความพ่ายแพ้มาเล่าให้ฟัง แอดมินไม่ได้มีเจตนาจะย้ำแผลเก่านะครับ กีฬาทุกชนิดมันไม่จบที่คำว่าเสมอหรอกครับ ท้ายที่สุดแล้วมันก็มีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้.
แต่มันขึ้นอยู่กับมุมมองว่าใครจะมองยังไง เพราะหลายคนก็คิดว่า Liverpool ไม่น่าจะชนะ และอีกหลายคนก็คิดว่า Barcelona ไม่น่าจะแพ้เช่นกัน.