Tel. 0800-555-555 | 0900-555-555 |

“ปาฏิหาริย์กับความฝันที่เกือบจะกลายเป็นฝุ่นละออง”

วันนี้เมื่อปี 2005…เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ Comeback ในเกมการแข่งขันที่ยิ่่งใหญ่ที่สุดอีกเกมหนึ่งในเวทียุโรปที่ อิสตันบูล ประเทศตุรกี.

Liverpool มีโปรแกรมพบกับ AC Milan ในรอบชิงชนะเลิศศึก UEFA Champions League ที่มีถ้วยบิ๊กเอียร์เป็นเดิมพัน.

แอดมินคงไม่ต้องเล่าเยอะเป็นน้ำมากมาย, เอาง่าย ๆ ว่า AC Milan ขึ้นนำไปก่อนถึง 3 ประตูรวด โดยเฉพาะช่วงครึ่งแรก ปีศาจแดง-ดำยกพลมาด้วยฟอร์มการเล่นที่ต้องยอมรับว่า “เหนือชั้น”.

“ด้วยคุณภาพของ Andrea Pirlo, Clarence Seedorf และ Kaka ในเกมนั้น…พวกเขาฉีกเราออกเป็นชิ้น ๆ อย่างไม่ใยดีเลย” ข้อความของ Steven Gerrard ที่เขียนไว้ในอัตชีวประวัติของเขา.

“ตอนนั้น ผมแทบไม่ได้คิดถึงเรื่องเกมการแข่งขันเลยด้วยซ้ำ ผมคิดถึงหน้าครอบครัวของผม ความฝันของพวกเรามันเกือบจะกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว” นี่คือข้อความในอัตชีวประวัติของ Jamie Carragher เช่นกัน.

“Gattuso แสดงท่าทีให้พวกเราเห็นอย่างชัดเจน เขามั่นใจมาก ด้วยสกอร์ที่พวกเขาขึ้นนำไปแล้วถึง 3 ประตู”

โมเมนตั้มของเกมการแข่งขันเริ่มเปลี่ยนไป หลังจากที่ Steven Gerrard ขึ้นโหม่งทำประตูตีไข่แตกให้กับ Liverpool จุดประกายความหวังให้กับบรรดานักเตะทัพหงส์แดง.

จากนั้น Vladimir Smicer ยิงประตูที่ 2 และก็เป็น Xabi Alonso ที่ยิงจุดโทษตีเสมอให้เป็นสกอร์ 3-3 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ นำการแข่งขันไปสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษและทั้ง 2 ทีมต้องวัดกันที่การยิงจุดโทษ.

ทุกคนคงจำภาพที่ Jersey Dudek ทำการเซฟลูกยิงของ Serginho และ Shevchenko ได้เป็นอย่างดี, แฟนหงส์แดงต่างกล่าวขานว่า ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นที่อิสตันบูลในค่ำคืนนั้น.

Rafael Benitez กลายเป็นกุนซือผู้ปล้นแชมป์เวทียุโรปไปจากอ้อมกอดของ Carlo Ancelotti ไปในทันที.

“ส่วนตัวผมแล้ว ผมไม่เชื่อในคำว่าปาฏิหาริย์นะ ผมเชื่อมั่นในแฟนบอลของพวกเรามากกว่า พวกเขาประสานเสียงขับขานบทเพลง You’ll never walk alone ตลอดเวลา” Gerrard เสริม.

“ผมยอมรับตามตรงเลยว่า ในตอนนั้น AC Milan เป็นทีมที่ดีกว่าเราจริง ๆ แต่พวกเราก็คว้าชัยชนะในเกมนั้นมาได้”