หากมองไปที่อันดับในตารางปัจจุบัน ดูเหมือนอันดับสามและสี่ ที่จะนำพาให้ผู้คว้ามันมา ได้ไปเล่นบอลถ้วยยุโรปนั้นกำลังขับเคี้ยวกันอย่างเมามัน เนื่องจากมีผู้ท้าชิงในตำแหน่งนี้ถึง 4 ทีม ด้วยกัน
วันนี้เราจะมาวิเคราะห์กันซักหน่อยดีกว่าครับ ว่าทีมไหนมีโอกาสได้ไปในฤดูกาลหน้ามากที่สุด
ทีมแรกที่จะพูดถึง คงไม่พ้น เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งอยู่อันดับสาม มี 55 คะแนน ถึงแม้ก่อนหน้านี้ ในช่วงเดือนมกราคม พวกเขาจะมีแต้มอยู่ห่างจากแมนฯยูไนเต็ดอันดับห้าถึง 14 คะแนน แต่สุดท้ายฟอร์มกลับดิ่งลงอย่างเห็นได้ชัดและปัจจุบันพวกเขาชนะเพียงสองนัดจาก 11 เกมลีก
อาจเป็นเพราะปัญหาปืนฝืดของเจมี วาร์ดี ที่ยิงแทบจะไม่ได้เลยหลังจากผ่านเดือนธันวาคมเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งในช่วงนั้นเขาถลุงตาข่ายไปถึง 17 ประตู แต่พอเข้าปี 2020 กลับยิงได้เพียง 2 ประตูเท่านั้น ในเกมที่เจอกับ วิลล่า เดือนมีนาคม นอกจากนี้ ถึงจะอยู่อันดับสาม แต่หากแต้มยังคงร่วงอยู่แบบนั้น คงได้ไปลุ้นกับแมนฯยูจนถึงแมตช์สุดท้ายของฤดูกาลที่ต้องเจอกับทัพปิศาจแดงใน ถิ่น คิงพาวเวอร์สเตเดียม
ส่วนทางด้าน อันดับสี่ ในตารางอย่างเชลซี หลังได้พักยาวจากช่วงล็อคดาวน์ 100 วัน ดูเหมือนจะกลับมาฟอร์มดีอีกครั้ง พวกเขาเอาชนะได้ทั้ง แอสตัน วิลลา และ แมนฯซิตี้ เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก เพราะชัยชนะเหนือทัพเรือใบสีฟ้าของพวกเขา ส่งผลให้หงส์แดงลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกทันที
แต่อย่างไรก็ตาม อยู่ดีๆก็ฟอร์มบูดซะอย่างนั้น เพราะพึ่งบุกไปพ่ายทีมขุนค้อนเวสต์แฮมมาหมาดๆในศึกพรีเมียร์ลีก จนคะแนนในตารางที่เคยทิ้งห่างแมนฯยูตอนนี้เหลือเพียง 3 แต้มเท่านั้น ดังนั้น หากพวกเขายังอยากไปเล่นบอลถ้วยยุโรปในปีหน้าจริง นัดต่อๆไปก็ห้ามแพ้เด็ดขาด แถมโปรเกรมก็ดูเหมือนจะเข้าทางฝั่งคู่แข่งซะมากกว่าเพราะจะมีเกมตัดเชือกกับวูล์ฟแฮมปตันในนัดสุดท้าย ซึ่งทีมหมาป่าก็เป็นอีกหนึ่งฝั่งที่ไล่บี้ขึนมาในตารางเช่นเดียวกัน และถึงแม้จะอยู่อันดับ 6 มี 52 คะแนน
แต่ถ้าจะให้พูดถึงหนึ่งในทีมที่ฟอร์มดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก ณ ปัจจุบัน ยังไงซะก็คงไม่พ้น วูล์ฟแฮมป์ตันเพราะมีเพียงลิเวอร์พูลเท่านั้น ที่มีแต้มมากกว่าพวกเขาใน 10 นัดหลังสุด จากผลงาน ชนะ 6 และพ่ายแพ้เพียงนัดเดียวต่อลูกทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์นับตั้งแต่เดือนมกราคม
นอกจากนี้ ผลงานของพวกเขาหลังฟุตบอลกลับมาเตะอีกครั้งจากช่วงล็อคดาวน์ ทีมหมาป่าชนะรวดทั้งสามเกมที่เจอกับ เวสต์แฮม , บอร์นมัธ และ วิลลา ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่า พวกเขาคือผู้ท้าชิงพื้นที่ไปแชมเปี้ยนส์ลีกตัวเต็งอีกราย
ไม่ใช่เพียงแค่ผู้จัดการทีม นูโน่ เอสปิริโต ที่วางแผนได้อย่างแยบยล แก้เกมคู่แข่งได้อย่างเหนือชั้นเท่านั้น แต่หนึ่งในฟันเฟืองตัวสำคัญของพวกเขานั้นคือ ราอูล ฆิมิเนส ซึ่งทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ยิงไปแล้ว 15 ประตูในฤดูกาลนี้ และปัจจุบันก็กำลังฟอร์มดี จนอาจพาทีมหมาป่าเข้าไปเล่นรอบคัดเลือกในแชมเปี้ยนส์ลีกเลยก็ได้ นับตั้งแต่ฤดูกาล 1959-60
ส่วนทางด้าน ปิศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งอยู่อันดับห้าในตาราง มี 52 คะแนน พวกเขาไร้พ่ายมาแล้ว 15 นัด ในทุกรายการแข่งขัน เรียกได้ว่าฟอร์มเถื่อนเป็นอย่างมาก หลังได้นักเตะตัวหลักกลับมาครบครัน ทั้ง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ ปอล ป็อกบา รวมถึงการเข้ามาของทั้ง โอเดียน อิกาโล่ และ จอมทัพอย่าง บรูโน่ แฟร์นานเดส ซึ่งเรียกได้ว่ายกระดับทีมอย่างแท้จริง
ถึงแม้ปัญหาหลักในช่วงก่อนหน้าจะเป็นการทำแต้มหล่นมือในการเจอกับทีมระดับกลางตาราง จนใครๆต่างก็เรียกว่าโรบินฮูด และเมื่อเทียบกับทั้ง เชลซี และวูล์ฟส์ แมนฯยูก็ดูจะด้อยกว่า แต่ปัจจุบันสถานการณ์กลับเปลี่ยนไป แถมอะไรๆก็ดูจะเป็นใจให้พวกเขาได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีกซะมากกว่าจากโปรแกรมที่เหลืออยู่ เว้นแต่สองเกมสุดท้ายซึ่งจะเปิดบ้านเจอกับเชลซีที่ฤดูกาลนี้ก็ชนะมาตลอด ก่อนที่จะไปเยือน เลสเตอร์ ซิตี้ ในนัดปิดฤดูกาล แต่หากฟอร์มของพวกเขายังดีแบบนี้ ยังไงสามแต้มก็ไม่น่าพลาด
และขอแถมให้ซักนิด ในเมื่อพูดถึงแชมเปี้ยนส์ลีกแล้ว ทางด้านยูโรป้าลีกก็เดือดไม่แพ้กัน เพราะมีทั้ง สเปอร์ส , เชฟฯยูไนเต็ด และ อาร์เซนอล ที่พร้อมจะเบียดแซงหากคู่แข่งพลาด และเมื่อดูจากโปรแกรมการแข่งขันแล้ว คงยังไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าทีมไหนจะมีโอกาสเข้าเส้นชัยมากที่สุด แต่ทีมที่ดูมีภาษีน้อยกว่าเพื่อนที่สุดคงไม้พ้น เชฟฯยูไนเต็ด ที่ยังไม่ชนะใครเลยตั้งแต่ฟุตบอลกลับมาเตะอีกครั้ง คงต้องวัดในเกมที่เจอกับสเปอร์สในสัปดาห์นี้ อย่างๆน้อย หากพวกเขายันเสมอได้ แต้มก็จะยังไม่ทิ้งห่างกันมาก ส่วนทางด้านอาร์เซน่อล อาจต้องไปวัดในเกมที่บุกไปเยือนสเปอร์ส หากสามารถคว่ำคู่อริร่วมเมืองรายนี้ได้ เส้นทางของพวกเขาสู่ยูโรป้าลีกคงจะง่ายขึ้นอีกระดับ
สุดท้ายนี้ จากผลทำนายของสื่อต่างประเทศ ไม่น่าเชื่อครับว่า เชลซี ยังไงก็ได้ไปแชมป์เปี้ยนส์ลีก พวกเขาจะขึ้นไปอยู่อันดับ 3 ส่วนวูล์ฟส์ อยู่อันดับ 4 แมนฯยู อันดับ 5 เลสเตอร์ อันดับ 6 สเปอร์ส อันดับ 7 อาร์เซน่อล อันดับ 8 และ เชฟฯยูไนเต็ด อันดับ 9
แต่แฟนบอลอย่างเราๆก็ไม่ต้องตกใจไป นี่เป็นเพียงบทวิเคราะห์และการคาดการณ์จากสื่อต่างประเทศเท่านั้น ในโลกของฟุตบอล อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ