สเปอร์อาจเสียตำแหน่งจ่าฝูงไปให้ลิเวอร์พูล แต่สำหรับแฮร์รี เคน กองหน้าของ “ไก่เดือยทอง” ยังเป็นกองหน้าที่น่าจับตามองมากที่สุดในฤดูกาลนี้
ภายใต้การคุมทีมของโฮเซ่ มูรินโญ ไม่เพียงแต่ทำให้ฟอร์มการเล่นของทีมดังของลอนดอนแกร่งทั่วแผ่นเท่านั้น ยังปรับสไตล์การเล่นของเคนเสียใหม่ จากตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าที่คอยยืนรอบอลอยูในแดนหน้าก็กลายมาเป็นหัวหอกที่ลงมาล้วงบอลต่ำ คอยสร้างสรรค์โอกาสให้เพื่อนสอดขึ้นทำประตู
หากแต่ “แฮร์รี่ เคน” ไม่ใช่ผู้เล่นคนเดียวในพรีเมียร์ลีกที่เปลี่ยนไปเพราะแท็กติกการเล่นของทีม สำหรับบางคนเปลี่ยนเพราะความจำเป็น บางคนเปลี่ยนแล้วแป้ก แต่บางคนก็เปลี่ยนแล้วเปรี้ยงก็มี ลองมาสำรวจดูสิว่ามีใครกันบ้าง
1.แฮร์รี เคน (สเปอร์)
เคน เป็นตำนานของเสื้อหมายเลข 9 ของ “ไก่เดือยทอง” และครองตำแหน่งดาวซัลโวอย่างต่อเนื่องมาหลายปี แต่เมื่อมูรินโญ่เข้ามาคุมทีมเปลี่ยนบทบาทให้กองหน้าทีมชาติอังกฤษไปเล่นในสไตล์เดียวกันกับเธียร์รี อองรี อดีตดาวยิงอาร์เซนอล และ เควิน เดอบรอยน์ มิดฟิลด์ของแมนฯซิตี้
บทบาทของเคนก็คือถอยลงมาต่ำแล้วทำหน้าที่ผ่านบอลแบบ “คิลเลอร์ พาส” และการถอยลงมายังเป็นการหนีตัวประกบได้ดีอีกด้วย ผลงานที่ออกมาก็คือทำไปแล้ว 10 แอสซิสต์ และมีเป้าหมายทำให้ได้ถึง 20 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลเท่ากับที่อองรีและเดอบรอยน์เคยทำไว้ก่อนหน้านี้
2.อารอน เครสเวลล์ (เวสต์แฮม)
เดวิด มอยส์ ทำให้ผลงานของ “ขุนค้อน” แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะแนวรับจับเอาเครสเวลล์ ผู้เล่นในตำแหน่งแบ็กซ้ายขยับเข้ามาเป็นเซนเตอร์แบ็ก หลังจากทีมเปลี่ยนมาใช้ปราการหลังตัวกลางสามคนดูเหมือนจะเป็นแผนที่เวิร์กมาก ไม่เพียงแต่ช่วยเกมรับแต่ยังสอดขึ้นไปวางบอลให้เพื่อนเข้าทำประตูได้อีก
3.เอริก ไดเออร์ (สเปอร์)
นักเตะอีกคนที่ชะตาชีวิตพลิกผันเมื่อมูรินโญ่เข้ามาคุมสเปอร์ไม่พ้นเอริก ไดเออร์ ก่อนหน้านี้อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษแทบไม่ได้รับโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่เลย อย่างมากก็เป็นแค่ตัวสำรอง แต่เมื่อกุนซือชาวโปรตุกีสเข้ามาคุมทีมเขาได้ลงเล่นในตำแหน่งปราการหลังตัวกลาง โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้ได้ลงเป็นตัวจริงในเกมนี้ไปแล้ว 15 นัดและเป็นเซนเตอร์แบ็กทั้งหมด และเข้าขากับโทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ได้เป็นอย่างดี ในลีกเพิ่งเสียไปแค่ 13 ประตูเท่านั้น
4.ติโม แวร์เนอร์ (เชลซี)
แวร์เนอร์ ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้าของทีมชาติเยอรมนี และในทีมไลป์ซิกก็เป็นดาวยิงประจำทีม แต่การย้ายมาเล่นในทีมเชลซีนั้นดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยืนตำแหน่งถนัดเป็นการตายตัว ปัญหาการบาดเจ็บของคริสเตียน พูลิซิช ทำให้เขาต้องฉีกตัวเองออกไปยืนฝั่งซ้าย สถิติการยิงประตูของเขาในฤดูกาลนี้จึงจอดสนิทอยู่ที่ 8 ประตู ในขณะที่ฤดูกาลที่แล้วเขายิงให้ไลป์ซิกได้ถึง 34 ประตู ยังคาดเดายากว่าหัวหอกทีมชาติเยอรมนีจะยิงให้เชลซีในพรีเมียร์ลีกได้อย่างที่แฟนบอลคาดหวังหรือไม่
5.ฟาบินโญ (ลิเวอร์พูล)
เมื่อเวอร์กิล ฟาน ไดค์ได้รับบาดเจ็บต้องพักยาวทำให้เหล่าเดอะค็อปกลัวว่าแนวรับของลิเวอร์พูลจะกลายเป็นจุดบอดของทีม แต่คนที่ตอบโจทย์นี้ได้ดีที่สุดไม่ใช่ทั้งโจ โกเมซ หรือ โจเอล มาติป แต่เป็นมิดฟิลด์ตัวตัดเกมอย่างฟาบินโญต่างหาก มิดฟิลด์แซมบ้าถอยตัวเองมายืนเป็นเซนเตอร์แบ็กและทำหน้าที่ได้อย่างมั่นคง แนวรับของ “หงส์แดง” ยังคงแข็งแกร่งเหมือนเดิม นับว่าเจอร์เกน คล็อปป์ เลือกคนได้เหมาะกับสถานการณ์จริงๆ
6.ไค ฮาแวร์ตซ์ (เชลซี)
มิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมนีย้ายมาอยู่เชลซีพร้อมกับติโม แวร์เนอร์ และดูเหมือนว่าฮาแวร์ตซ์ จะมีปัญหาอย่างมากในการปรับตัวกับการเล่นในพรีเมียร์ลีก ไม่เพียงเท่านั้นแฟรงก์ แลมพาร์ด ยังทดลองให้เขาเล่นหลายตำแหน่ง ทั้งมิดฟิลด์ตัวรุก ตัวริมเส้นด้านขวา หรือยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า บางครั้งก็ถอยมาเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนตำแหน่งจะทำให้ฮาแวร์ตซ์ต้องพบกับความยุ่งยากไปจนถึงสิ้นสุดฤดูกาลแน่
7.อเล็กซ์ อิโวบี้ (เอฟเวอร์ตัน)
ตั้งแต่สมัยอยู่อาร์เซนอล อิโวบี้ยึดตำแหน่งตัวทำเกมทางริมเส้นมาโดยตลอด และเมื่อย้ายมาเล่นให้เอฟเวอร์ตันก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ จนกระทั่งเมื่อคาร์โล อันเชล็อตติ มีความเปลี่ยนแปลงในแท็คติกการเล่นไปมาก อิโวบี้กลายเป็นตัวสำรองก่อนจะกลับมามีโอกาสลงเล่นบ่อยหนในระยะหลัง แต่ขยับจากปีกลงมาเป็นวิงแบ็ก ในเกมที่ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอาชนะ ฟูแล่ม 3-2 และเสมอเบิร์นลีย์ 1-1 เขาเล่นในตำแหน่งวิงแบ็กโดยตลอดและมีส่วนช่วยเกมได้มากทั้งรุกและรับ บางทีเขาอาจจะกลับมาเกิดอีกครั้งในตำแหน่งใหม่นี้ก็เป็นไปได้