คงต้องบอกว่าฤดูกาล 2020-21 ท่ามกลางปัญหาการระบาดของไวรัส โควิด-19 ทำให้แฟนบอลเข้าชมเกมในสนามไม่ได้ รายได้ของสโมสรยักษ์ใหญ่หล่นหายไปอย่างมาก ในขณะที่ค่าเหนื่อย ค่าตัวของนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์พุ่งพรวด
แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นปีทองของสโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษอย่างแท้จริง เมื่อศึกยูฟา แชมเปียนส์ลีก ฟุตบอลถ้วยสโมสรใหญ่ที่สุดในยุโรปเป็นการพบกันระหว่างทีมจากอังกฤษด้วยกันคือ “เรือใบสีฟ้า” แมนฯซิตี้ จะเข้าไปชิงชนะเลิศกับ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี
ไม่เพียงเท่านั้นในศึกยูโรปา ลีก ในศึกรอบรองชนะเลิศ ก็มี “ผีแดง” แมนฯยู และ อาร์เซน่อล ทีผ่านเข้ามาเล่นในรอบตัดเชือก แล้วจะไม่เรียกว่าเป็นปีทองของพรีเมียร์ลีกได้ยังไงไหว แต่การผ่านเข้ามาชิงตำแหน่งเจ้ายุโรประหว่างแมนฯซิตี้กับเชลซี ก็เกิดคำถามขึ้นว่าหากเชลซีได้แชมป์รายการนี้ขึ้นมา และจบฤดูกาลด้วยการไม่ติดอันดับ 4 ขึ้นมา จะเป็นยังไงกันบ้าง
อันดับในตารางขณะนี้ “เรือใบสีฟ้า” นำเป็นจ่าฝูงมี 80 แต้มจาก 34 นัด ทิ้งอันดับ 2 คือแมนฯยู 13 แต้มแต่แข่งมากกว่า 1 นัด โอกาสที่แมนฯซิตี้จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกจึงเปิดโล่งอย่างมาก เพราะอย่างนั้นไม่ว่าจะได้แชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีกหรือไม่ ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอลา ก็จะได้สิทธิ์เตะแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลหน้าอย่างแน่นอน
สโมสรที่จะได้ไปแชมเปียนส์ลีกจึงเป็นอันดับ 1-4 และบวกเพิ่มกรณีสโมสรจากอังกฤษได้แชมป์ยูโรปาลีก ปัญหาจะเกิดขึ้นก็กรณีที่เชลซีได้แชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีก พวกเขาก็จะได้โควตาในฐานะแชมป์เก่าได้เล่นในแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลหน้า แต่ถ้าไม่ได้แชมป์แต่ติดท็อปโฟร์ก็จะได้โควตาอยู่ดี แต่ถ้าผลงานจบฤดูกาลนี้เชลซีได้แชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีก ไม่ติดอันดับ 1-4 จะส่งผลกระทบกับสโมสรอื่นอย่างมาก
เมื่อผนวกรวมกับการที่อาร์เซนอล ซึ่งอยู่ในอันดับ 9 ในลีกขณะนี้ จับพลัดจับผลูได้แชมป์ยูโรปา ลีกขึ้นมา ก็จะได้สิทธิ์เล่นในแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาลหน้าไปด้วยอีกทีม หมายความว่า ทีมที่จะได้โควตาไปเตะแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลหน้าจะต้องหดเหลือแค่อันดับ 1-3 เท่านั้น เพราะตามกฎของยูฟาให้โควตาแต่ละลีกจะได้โควตาไปเตะแชมเปียนส์ลีกไม่เกิน 5 สโมสรเท่านั้น หมายความว่าทีมอันดับ 4 ที่หมายมั่นปั้นมือจะจะได้ไปแชมเปียนส์ลีกก็จะได้เพียงแค่เข้ารอบแบ่งกลุ่มยูโรปา ลีกไปเท่านั้น ผลงานในเกมที่เหลือของอาร์เซนอลและเชลซีในบอลถ้วยยุโรปจึงมีความสำคัญอย่างมาก
สถานการณ์ในขณะนี้เชลซีอยู่อันดับ 4 มี 61 แต้มจาก 34 นัดก็จริง แต่นัดที่เหลือมีเกมที่หนักๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการไปเยือนแมนฯซิตี้,เล่นในบ้านเจออาร์เซน่อล,เล่นในสแตมฟอร์ด บริดจ์ เจอ เลสเตอร์ และนัดสุดท้ายของฤดูกาลไปเยือนแอสตัน วิลลา โอกาสหลุดท็อปโฟร์มีความเป็นไปได้อย่างมาก
และถ้าเป็นอย่างนั้น อันดับที่ 4 ก็จะเปิดกว้างหลายทีมทั้งเวสต์แฮม,สเปอร์ส และ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แต่เป็นอันดับ 4 ที่สุ่มเสี่ยงต่อการโดนตัดสิทธิ์ไปแชมเปียนส์ลีกได้เหมือนกัน คนที่หวั่นใจตั้งแต่ก่อนที่จะรู้ว่าทีมไหนจะผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศในยูฟา แชมเปียนส์ลีกก็คือ เจอร์เกน คล็อปป์ กุนซือลิเวอร์พูล
หาก “หงส์แดง” เกิด จบอันดับ 4 ตามหลัง แมนฯซิตี้, แมนฯยู และ เลสเตอร์ ซิตี้ ขณะที่ เชลซี คว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก และ อาร์เซน่อล คว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก ก็หมายความว่าลิเวอร์พูลจะได้เตะแค่ยูโรปา ลีก รอบแบ่งกลุ่มเท่านั้น
นั่นเป็นสถานการณ์เลวร้ายที่สุดในสายตาของกุนซือชาวเยอรมัน
แค่ฟุตบอลลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ โปรดติดตาม