ในโลกลูกหนังทุกยุคทุกสมัย จะมีโค้ชสุดยอดฝีมือก้าวขึ้นมาชนิดที่เรียกว่าทำผลงานได้ดีและมีความโดดเด่นเห็นได้ชัดเจน อาทิเช่น ไรนุส มิชเชล , โยฮัน ครัฟฟ์ , ฟร๊านซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ , โยอัคคิม เลิฟ, จ๊อค สตีน , เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน , อาร์ริโก้ ซ้าคคี่ , อันโตนิโอ คอนเต้
ซึ่งผู้จัดการทีมระดับโลกทุกคนย่อมมีช่วงเวลาที่สุดยอดจากประสบการณ์การคุมทีม และสำหรับในยุคนี้ เช่น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า, เจอร์เก้น คล็อปป์, แม็กซ์ อัลเลกรี, เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
แต่เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ ไม่มีใครสามารถอยู่ในจุดสูงสุดได้ตลอดค้ำฟ้า เพราะแท็คติกในโลกฟุตบอลปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่
หากย้อนกลับไปสัก 10 ปี ชื่อของกุนซือเลือดฝอยทองถือเป็นสุดยอดกุนซือ ถึงขั้นขนามนามตัวเองว่าเป็น เดอะ สเปเชี่ยลวัน มูรินโญ่ จัดเป็นผู้จัดการทีมที่ฝีมือฉมังที่สุดของวงการ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่คุม เชลซี ครั้งแรก กับอินเตอร์ มิลาน หรือ เรอัล มาดริด
สไตล์การเล่นเกมรับอันเหนียวแน่นของมูรินโญ่ ได้รับยกย่องว่าเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ เปรียบเสมือนรถบัส 2 ชั้น ถึงขนาดที่ว่า ลาร์เซโลน่า ในยุคทองของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังเคยหาทางเจาะเข้าไปยิงไม่ได้ อีกทั้งการเล่นเกมรุกของเฮียมูก็เฉียบคม เจาะประตูคู่แข่งได้เรื่อยๆ
แท็คติกของมูรินโญ่ ได้รับการยกย่อง และใช้ได้ผลดีมานานนับ 10 ปี จนมาถึงในช่วง 2-3 ปี หลังมานี้ ที่โดนตั้งคำถามหนักมาก ไม่ว่าจะเป็นการคุมสิงห์บลูส์ รอบ 2
การกุมบังเหียนแมนฯยู หรือปัจจุบันกับ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์
สไตล์การกำกับทีมของมูรินโญ่ ไม่ได้แหล่มแจ่มจิ๊ดจ๊าดเหมือนแต่ก่อน เช่นเดียวกับคาแร็คเตอร์แข็งกร้าว ก็ส่งผลให้เป็นภาพลักษณ์ไม่ค่อยดี สวนทางกับกุนซือยุคใหม่อย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับกุนซือรุ่นก่อนๆ อย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ , ฟาบิโอ คาเปลโล่ , กุส ฮิดดิ้งค์ , เคนนี่ ดัลกริช และอีกหลายๆคน เนื่องจากฟุตบอลของพวกเขาถูกจับทางได้ และตกยุคสมัยไปแล้วนั่นเอง
จะมีก็เพียงแค่กุนซือไม่กี่คน ที่สามารถก้าวทันโลกลูกหนังทัน เช่น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน , มาร์เซโล่า ลิปปี้ หรือ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่จัดว่าประคองตัวรอดมาได้ในระยะยาว
ซึ่งเมื่อมองจากสิ่งที่เกิดขึ้นในศึกพรีเมียร์ลีก ที่มีการพลิกโผ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ วัตฟอร์ด 3-0 นับเป็นความปราชัยเกมแรกของทัพหงส์แดงในซีซั่นนี้ ทำให้หลายคนเริ่มสงสัยว่า ฟุตบอล “เกเก้น เพรซซิ่ง” ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ นั้นเริ่มส่งสัญญาณว่าถูกจับทางได้แล้วรึเปล่า ?
เพราะหากนับตั้งแต่ปี 2020 มา ไม่มีเกมไหนเลยที่ทัพหงส์แดง สามารถโชว์ศักยภาพของพวกเค้าออกมาได้อย่างเต็มที่ เห็นได้ว่าลิเวอร์พูลคว้าชัยแบบเอาตัวรอดด้วยสกอร์เฉียดชิวมาทั้งนั้น
ทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นตั้งแต่เกมที่แพ้ แอตเลติโก มาาดริด 0-1 ในศึกUCL รอบ 16 ทีมสุดท้าย ต่อด้วยการชนะเวสต์แฮมแบบหืดจับ 3-2 ก่อนจะมาชะตาขาดในเกมแพ้แตอาละวาด
จริงอยู่ที่ทัพหงส์แดงเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานด้วยส่วนหนึ่ง แต่หากพูดถึงในแง่ของแท็คติกเกม ก็จัดว่ามีประเด็นที่น่าสนใจ
ทีมเล็กๆอย่าง นอริช ซิตี้ , เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, วัตฟอร์ด หรือเจ้าพ่อบอลตั้งรับอย่าง แอตฯ มาดริด ดูเหมือนจะเริ่มรู้แล้ว ว่าจะหาทางรับมือเล่นกับ “หงส์แดง” ยังไง ทำแบบไหนถึงจะเอาตัวรอดไปได้
แต่การจะบอกนี่คือสัญญาณว่าฟุตบอลของ คล็อปป์ กำลังจะตกยุคในอีกไม่ช้า มันคงจะเป็นข้อสรุปที่เร็วเกินไปหน่อย เพราะยังไงมันก็เป็นแค่การแพ้ในลีกแค่ 1 นัด และพวกเขาก็กำลังจะนับถอยหลัง เพื่อฉลองแขมป์ พรีเมียร์ ลีก หนแรกหลังจากที่ต้องรอคอยกันนานนับ 30 ปี
ซึ่งประวัติศาสตร์ฟุตบอลได้แสดงให้เห็นกันมานักต่อนักแล้ว ว่าเป็นกีฬาที่มีวิวัฒนาการเพื่อหาทางแก้กันมาตลอด ขนาดแมนฯซิตี้ ของเป๊ป เมื่อซีซั่นที่แล้ว ก็เริ่มเอาชนะคู่แข่งได้ยากกว่าแต่ก่อนเยอะ
เหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นกับลิเวอร์พูลก็ได้ พวกเขาต้องเจอกับความท้าทายอีกมากมาย
ก็ต้องมารอดูกันว่าปรัชญาฟุตบอลเกมรุกเอฟวี่เมทั่ลชอง คล็อปป์ จะสามารถเอาตัวรอดและอยู่ในระดับสูงสุดต่อไปได้นานแค่ไหน รวมถึงคู่แข่งแต่ละทีม จะหาวิธีการไหนมาแก้ทางฟุตบอลของ คล็อปป