สตีเว่น จอร์จ เจอร์ราร์ด (Steven George Gerrard) เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ปัจจุบันอายุ 41 ปี ปัจจุบันเข้ารับงานเป็นผู้จัดการทีม แอสตัน วิลล่า สโมสรดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
ย้อนกลับไปในวัยเด็ก เจอร์ราร์ด เกิดและเติบโต ที่เมือง วิสตัน เมอร์ซี่ย์ไซด์ ในลิเวอร์พูล และเข้าสู่เส้นทางการเป็นนักฟุตบอลด้วยเมื่อตอนอายุ 8 ปี โดยเป็นสมาชิกของทีม วายทีเอส (YTS) ก่อนที่จะได้เซ็นสัญญาเข้าสู่นักฟุตบอลเยาวชนของสโมสรลิเวอร์พูล (Liverpool Youth Academy) ในปี 1987 ด้วยวัยเพียง 9 ปี
หลังจากฝึกฝนพัฒนาอยู่ที่เยาวชนสโมสรลิเวอร์พูลอยู่ถึง 10 ปี ก็ได้รับสัญญาการเป็นนักฟุตบอลอาชืพของนักเตะ ลิเวอร์พูล ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 1997 และแล้วการมาของ เชราร์ อุลลิเยร์ ผู้จัดการทีมคนใหม่ที่ทำงานร่วมกับ รอย อีแวนส์ ในตอนนั้น ก็ได้ส่งนักเตะที่หัวสีแดง (Ginger Head) หรือเรียกกันว่า ”หัวขิง” ลงสนามแทนที่ เวการ์ด เฮ็กเกม ในเกมพบกับ แบล็คเบิร์น เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 1998 และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมแรก ในถ้วย ยูฟ่า คัพ (ปัจจุบันคือ ยูโรป้า ลีก ) พบกับ เซลต้า บีโก้ สโมสรดังจาก ลาลีก้า สเปน ถึงแม้จะพ่ายแพ้ในเกมนั้น แต่ก็ได้รับคำชื่นชมอย่างมาก
และในปี 1999-2000 ก็เป็นจุดเริ่มต้นของ “สตีวี่จี” ภายใต้การคุมทีมของ เชราร์ อุลลิเยร์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล อย่างเต็มตัว หลังจากที่ได้เล่นในหลายตำแหน่งไม่ว่าจะเป็น ปีก หรือ แบ็ก และกองกลาง อุลลิเยร์ ก็ได้มองเห็นว่าตำแหน่งที่เหมาะที่สุดของ เจอร์ราร์ดก็คือ มิดฟิลด์ตรงกลาง คู่กับ เจมี่ เร็ดแนปป์ ที่เป็นกัปตันทีมในเวลานั้น ได้ลงสนามไปทั้งหมด 29 นัดและทำได้ 1 ประตู หลังจากนั้น เจอร์ราร์ด ก็พบกับปัญหาบาดเจ็บเรื้อรังอยู่ตลอดเวลา ทำให้ อุลลิเยร์ ต้องส่งตัว เจอร์ราร์ด ไปรักษาที่ฝรั่งเศส และการกลับมาครั้งใหม่นี้ เจอร์ราร์ด ก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมและไม่มีปัญหาบาดเจ็บเรื้อรังอีกเลย
เมื่อเข้าสู่ปี 2000-2001 เจอร์ราร์ด ในวัย 20 ปี ก็สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก 33 นัด ยิงได้ 7 ประตู และยังลงสนามในเกมยูฟ่า คัพ (ยูโรป้า ลีก ปัจจุบัน) ไป 9 นัด ยิงได้ 2 ประตู ในปีนี้เอง “สตีวี่จี” ช่วยให้ต้นสังกัด ”หงส์แดง” คว้าทริปเปิ้ลแชมป์มาครองได้สำเร็จ โดยได้แชมป์ เอฟเอ คัพ , ลีก คัพ , และ ยูฟ่า คัพ และยังรับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี (Young Player of the Year award) มาครอบครองได้สำเร็จ
จุดเปลี่ยนสำคัญก็มาถึง ในช่วงปี 2003-2004 เจอร์ราร์ด ในวัย 23 ปี ก็ได้รับบทบาทการเป็นกัปตันทีม คนใหม่แทนที่ ซามี่ ฮูเปีย เซนเตอร์แบ็กชาวฟินแลนด์ ในเวลานั้น และการทำงานหนัก ทุ่มเท คอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมอยู่เสมอ ก็ได้รับการยอมรับในทีมในเวลาต่อมา เมื่อปี 2004-2005 ลิเวอร์พูลก็เปลี่ยนทีมครั้งสำคัญ หลังจากที่ ไม่มี กองหน้าอย่าง ไมเคิล โอเว่น ที่ย้ายไปร่วมทีม เรอัล มาดริด ในลาลีก้า สเปน มิหนำซ้ำยังต้องเสีย ผู้จัดการทีม เชราร์ อุลลิเยร์ ที่ย้ายไปเป็นผู้จัดการทีมให้กับ ลียง สโมสรจากลีกเอิง ฝรั่งเศส อีกด้วย
แต่ก็ได้ผู้จัดการทีมคนใหม่อย่าง ราฟาเอล เบนิเตซ เข้ามา ในจุดนี้เอง ปาฎิหาริย์แห่งอิสตันบลู ในตุรกี ก็เกิดขึ้น หลังจากที่ ”หงส์แดง”ที่ในเวลานั้นเป็นรอง เอซี มิลาน ด้วยขุมกำลังนักเตะที่มี แถมยังครึ่งแรก ถูกนำไปถึง 0-3 ก่อนจะเข้าห้องแต่งตัว และถูกกระตุ้นจากชายที่ชื่อว่า สตีเว่น เจอร์ราร์ด เพียงคำพูดที่ว่า ”ครึ่งหลังอยากจะขอให้พวกเราทุกคน เล่นอย่างเต็มที่ ให้สมกับที่แฟนบอลเดินทางไกลเพื่อมาเชียร์เรา ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เราจะไม่ทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง” หลังจากนั้น “สตีวี่จี” ก็โหม่งให้ทีมไล่มาเป็น 1-3 ในนาทีที่ 54 และนาทีที่ 56 ก็ไล่มาเป็น 2-3 จากการยิงไกลของ วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ และจากนั้นเพียง 4 นาที ”หงส์แดง” ก็มาได้จุดโทษในนาทีที่ 60 จาก ชาบี อลอนโซ่ ยิงจุดโทษติดเซฟ ดิด้า ก่อนจะตามซ้ำเข้าไปเป็น 3-3 ก่อนจะดวลจุดโทษเอาชนะไปได้ในท้ายที่สุด เป็นแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ช็อคโลกและเป็นแมตช์คลาสลิคอยู่มาถึงปัจจุบันนี้
หลังจากนั้น ”สตีวี่จี” ก็ช่วยลิเวอร์พูลคว้าแชมป์เข้าสู่สโมสรด้วยการ เป็นแชมป์เอฟเอ คัพ ปี 2005-2006 และแชมป์ ลีก คัพ ปี 2011-2012 ก่อนจะลาจากทีมไปในปี 2015 หลังจากที่หมดสัญญา และไม่สามารถบรรลุข้อตกลงสัญญาใหม่ได้ ภายใต้ผู้จัดการทีมอย่าง แบรนดอน ร็อดเจอร์ส ในเวลานั้น ก่อนจะย้ายไปเมเจอร์ลีก อเมริกา อย่างทีม แอลเอ กาแลคซี่ อยู่ 2 ฤดูกาล ก่อนจะตัดสินใจประกาศแขวนสตั๊ดในท้ายที่สุด ในวัย 36 ปี
และแล้วหลังจากการแขวนสตั๊ด เส้นทางการเป็นกุนซือของ เจอร์ราร์ด ก็เริ่มต้นขึ้น ในฐานะการเป็นโค้ชทีมเยาวชนของ ลิเวอร์พูลในชุด U-18 และได้สร้างนักเตะขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปัจจุบันอาทิเช่น รีส วิลเลียมส์ , เนโก วิลเลียมส์ และ เคอร์ติส โจนส์ เป็นต้น
จนกระทั่งปี 2018 เจอร์ราร์ด ก็ไปรับงานผู้จัดการทีม เรนเจอร์ส ในลีกประเทศสก็อตแลนด์อย่างเต็มตัว และในปี 2020-2021 เจอร์ราร์ด ก็พา เรนเจอร์ส เป็นแชมป์ลีกสก็อตแลนด์ได้สำเร็จ และยังเป็นแชมป์แบบไร้พ่าย โดยที่ไม่แพ้ทีมไหนเลยตลอดทั้งฤดูกาล และเป็นการคว้าแชมป์สมัยแรกในรอบ 10 ปี ของสโมสรอีกด้วย
ในเวลาต่อมาไม่นาน หลังจากที่ เจอร์ราร์ด คุมทีมได้อย่างยอดเยี่ยม ชื่อของเขาก็ถูกเชื่อมโยงไปในหลายๆทีมก่อนหน้านี้ และท้ายที่สุด แอสตัน วิลล่า ก็ดึงตัวมาเป็นผู้จัดการทีมได้ในท้ายที่สุด ด้วยการจ่ายเงินค่าชดเชยให้กับ เรนเจอร์ส เป็นจำนวนเงิน 3 ล้านปอนด์ (131 ล้านบาท) และกำลังเริ่มตำนานบทใหม่ในการเป็นผู้จัดการทีมพรีเมียร์ลีกในเวลานี้